วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557

เบื่อนักการเมืองดีแต่ปาก









            แม้จะมีพระราชกฤษฎีกายุบสภา และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดวันเลือกตั้งคร่าวๆ เป็นวันที่ 2 ก.พ.57 แล้ว  แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีใครรู้ว่า จะมีการเลือกตั้งจริงหรือไม่

            เพราะกลุ่มต่อต้านรัฐบาลยังไม่ยอมให้มีการเลือกตั้ง และยังประกาศให้พรรคการเมืองต่างๆ บอยคอตไม่ลงเลือกตั้ง รวมถึงให้ประชาชนไม่ไปเลือกตั้ง เพราะต้องการปฏิรูปประเทศให้ได้เสียก่อน ขณะที่รัฐบาลรักษาการ พยายามจะเดินหน้าให้มีการเลือกตั้งให้ได้ตามกฎหมาย

            ทำให้ประเทศไทยขณะนี้ ยังไม่สามารถยุติปัญหาลงได้ และยังไม่รู้จะเดินหน้าต่ออย่างไร แม้มีความพยายามจากหลายฝ่ายที่จะหาทางออก แต่ในเมื่อฝ่ายที่เป็นอริกันไม่หันหน้าเข้าหากัน ไม่ยอมถอยคนละก้าวอย่างที่ปากว่าต้องการทำเพื่อประโยชน์ประเทศชาติ ปัญหาก็จะไม่จบลงง่ายๆ แน่นอน

             แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนต.ค.56 ที่มีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลจนถึงปัจจุบัน แม้จะไม่มีความรุนแรง และไม่เกิดการสูญเสียมากมายเหมือนที่ผ่านมา แต่ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์แล้วว่า ทำให้มูลค่าทางเศรษฐกิจเสียหายไปแล้ว 30,000-70,000 ล้านบาท

             หรือทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจลดลง 0.3-0.5% ส่งผลให้ปีนี้เศรษฐกิจโตได้เพียง 3% เท่านั้น จากคาดการณ์เมื่อเดือนต.ค.56 ที่คาดจะโตได้ 3.5%

             เพราะความวุ่นวายทางการเมือง ทำให้ประชาชนไม่มั่นใจใช้จ่าย กำลังซื้อลดลง การบริโภคในประเทศลดลง ส่วนนักธุรกิจ และนักท่องเที่ยวก็ไม่มั่นใจลงทุน และท่องเที่ยว ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจไทย และภาคการส่งออกไทย ยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก จึงทำให้ปีนี้ขยายตัวได้ต่ำมาก

             ส่วนปี 57 ถ้าการเมืองและรัฐบาลขาดเสถียรภาพ การลงทุนภาครัฐต่ำกว่าแผน ประชาชน นักธุรกิจ และนักท่องเที่ยวขาดความเชื่อมั่น เศรษฐกิจไทยจะเสียหาย 200,000-300,000 ล้านบาท และจะโตได้ต่ำกว่า 3% เท่านั้น

            ในทางกลับกัน หากการเมือง และรัฐบาลมีเสถียรภาพ การลงทุนภาครัฐดำเนินการได้ตามแผนที่กำหนดไว้ ประชาชน ภาคธุรกิจ นักท่องเที่ยว มีความเชื่อมั่น คาดจะเติบโตได้ 3.0-4.5% โดยหากมีการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.57 จะมีเม็ดเงินจากการเลือกตั้ง 10,000-40,000 ล้านบาท เข้ามาช่วยพยุงไม่ให้ตกต่ำมาก

             ไม่เช่นนั้น เศรษฐกิจไทยที่กำลังเปราะบาง ก็พร้อมทรุดลงได้ทุกเมื่อ โดยน่าจะเติบโตได้ต่ำกว่าศักยภาพ และอาจฟื้นตัวกลับมาได้ยาก ทั้งที่เศรษฐกิจไทยมีศักยภาพเติบโตได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 5% ด้วยซ้ำ

            ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย และผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า หลายครั้งที่ผ่านมา ที่เศรษฐกิจไทยตกต่ำ เพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 50 วิกฤติหนี้สาธารณะของยุโรปปี 54

            แต่ปีนี้ที่คาดขยายตัวได้ต่ำเพียง 3% เกิดจากปัจจัยภายในเป็นหลัก ดังนั้น จึงยากที่ฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว ถ้าการเมืองยังไม่นิ่ง รัฐบาลขาดเสถียรภาพ และการดำเนินนโยบายของรัฐบาลไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

            ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันยุติปัญหาได้แล้ว เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง คนไทยมีที่ยืนในโลกได้โดยไม่อายใคร และควรให้การกระทำแสดงออกว่ารักชาติเหมือนปากว่า อย่าดีแต่ปากกันอีกเลย ทุกวันนี้ เบื่อนักการเมืองดีแต่ปากที่สุด!!



                                                                           ฟันนี่เอส

                                                19
ธ.ค. 56

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น