วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

จับตาผู้มีอำนาจเหนือตลาด


















           ข่าวการเข้าซื้อกิจการบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจค้าส่ง แม็คโครของบริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) เจ้าของร้านสะดวกซื้อ เซเว่น-อีเลฟเว่นนั้น

    สร้างความปลาบปลื้มยินดีให้กับผู้ถือหุ้นของแม็คโครไม่ใช่น้อย เพราะช่วยดันให้ราคาหุ้นทะยานขึ้นไปได้หลายร้อยบาทในชั่วระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน!!

           แต่เชื่อว่า ข่าวเดียวกันนี้ อาจทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งยักษ์ใหญ่ในไทย ที่เป็นคู่แข่ง อย่างห้างค้าปลีกเทสโก้ โลตัส และห้างบิ๊กซี ต้องหนักใจ เพราะการทำธุรกิจนับตั้งแต่นี้ไปจะลำบาก และเข้าสู่ภาวะแข่งขันอย่างรุนแรงมากขึ้นอีก

           จากปัจจุบันนี้ การทำธุรกิจของห้าค้าปลีกขนาดใหญ่ ทั้งห้างเทสโก้ โลตัส หรือห้างบิ๊กซี ไม่ได้แข่งขันกับร้านสะดวกซื้อ และห้างแม็คโคร โดยตรง เพราะห้างค้าปลีก จะเน้นขายปลีก แต่แม็คโคร จะขายส่งเป็นหลัก ขณะที่ร้านสะดวกซื้อ เน้นความสะดวกของลูกค้า ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง และราคาสูงกว่าห้างค้าปลีก-ค้าส่ง









           แต่การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพีออลล์ ระบุว่า ถือเป็นการเสริมทัพการทำธุรกิจการค้าปลีกค้าส่งของซีพีออลล์ให้แข็งแกร่งมากขึ้น และใช้ช่องทางของแม็คโคร กระจายสินค้าไทยไปสู่ผู้บริโภคในอาเซียน

     ที่สำคัญ ยังเป็นการผนึกกำลังแสวงหาสินค้าและบริการใหม่ๆ และหลากหลาย มาอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภค และการได้ประโยชน์จากการประหยัดเชิงขนาด (Economy of Scale)

           ซึ่งจุดนี้ จะทำให้สินค้าของซีพีออลล์ มีความหลากหลายมากขึ้น ราคาถูกมากขึ้น และกระจายไปสู่ผู้บริโภคอย่างทั่วถึง ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น เพราะนอกจากจะมีร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น เกือบ 7,000 สาขาทั่วประเทศแล้ว ยังมีสาขาของห้างแม็คโครอีกเกือบ 50 สาขาทั่วประเทศ

           และเชื่อแน่ว่า ผู้บริโภคจะได้เห็นผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง แข่งขันกันจัดรายการส่งเสริมการขาย หรือจัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้ากันมากขึ้นแน่นอน

           นอกจากนี้ การรวมกันในครั้งนี้ ยังทำให้ยอดขายของเซเว่น-อีเลฟเว่น ที่ 159,000 ล้านบาท และของแม็คโคร ที่ประมาณ 98,623 ล้านบาท รวมกันแล้วอยู่ที่ 48.92% ของยอดขายรวมในธุรกิจ ขณะที่ เทสโก้ โลตัส มี 148,000 ล้านบาท และบิ๊กซี  121,000 ล้านบาท

           ซึ่งมีผลทำให้ทั้ง 3 รายคือ  เซเล่น-อีเลฟเว่น รวมกับห้างแม็คโคร, ห้างเทสโก้ โลตัส และห้างบิ๊กซี กลายเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาด ตามเงื่อนไขของพ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 ที่กำหนดผู้ประกอบการ 3 รายแรกมีส่วนแบ่งตลาดเกิน 75% และมียอดขายเกิน 1,000 ล้านบาท







           กรมการค้าภายใน ในฐานะเลขาคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า คงต้องเตรียมจับตาพฤติกรรมแข่งขันทางการค้าของเซเว่นฯ และแม็คโครอย่างใกล้ชิด หากใช้ความเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดทำธุรกิจเอาเปรียบคู่แข่ง จนเกิดความเสียหายทางธุรกิจ

     เช่น กำหนดราคาซื้อหรือขายสินค้าหรือค่าบริการอย่างไม่เป็นธรรม, บังคับขายพ่วงสินค้า, จำกัดการเข้าสู่ตลาดของธุรกิจอื่น เป็นต้น จะมีความผิดตามกฎหมาย และจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 ล้านบาท หรือทั้งจำและปรับ

    แต่ตราบใดที่ยังไม่ทำธุรกิจเอาเปรียบคนอื่น หรือทำให้คู่แข่งล้มหายตายจากธุรกิจ ก็ยังสามารถทำธุรกิจไปตามปกติ ไม่ถือว่ามีความผิดอะไร กระทรวงพาณิชย์พียงแค่ส่งสัญญาณเตือนเท่านั้น!!




ฟันนี่เอส  



                                       25 เม.ย.56

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

เมื่อไรจะใช้หนี้ค่าข้าวไทย?


   








           นาทีนี้ ทั่วโลกกำลังจับตาความขัดแย้งของพี่น้องสองชาติ อย่างเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ อย่างใกล้ชิด แบบแทบไม่กระพริบตา และหายใจไม่ทั่วท้อง

     ทั้งที่ผู้รู้จากทั่วโลก รู้กันดีว่า การประกาศสงครามของเกาหลีเหนือครั้งนี้ เป็นแค่ สร้างภาพของผู้นำวัยละอ่อน คิม จอง อึนเพื่อให้กองทัพ และคนในชาติเห็นความเป็นผู้นำ ที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว และเด็ดขาด ในตัวเขา เหมือนอย่างที่บิดา และปู่เคยเป็น และคนทั้งชาติเคยเห็นบารมี และให้ความจงรักภักดีมาก่อน

      นอกจากนี้ ยังสร้างภาพให้คนทั่วโลก เห็นเช่นกันว่า เขาไม่ได้เป็นผู้นำที่อ่อนด้อย แต่เป็นผู้นำที่พร้อมทำสงครามกับเกาหลีใต้ หรือสหรัฐฯ พี่ใหญ่ของโลกได้ทุกเมื่อ โดยไม่เกรงกลัวอะไร

     เพราะที่ผ่านมา คิม จอง อึน ยังไม่ได้แสดงศักยภาพความเป็นผู้นำ ให้กองทัพ เพื่อนร่วมชาติ และเพื่อนร่วมโลก ได้เห็นมากไปกว่าการเป็นเด็กดื้อกดปุ่มทดลองจรวดขีปนาวุธ และอาวุธนิวเคลียร์










    เหล่านี้คือเหตุผลที่ผู้รู้วิเคราะห์กัน ประกอบกับ เศรษฐกิจตกต่ำย่ำแย่ ผู้คนอดยากแร้นแค้น และแทบไม่มีเงินซื้ออาวุธที่ทันสมัยเพียงพอที่จะต่อกรกับสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ได้ จึงเชื่อว่า การประกาศเปิดศึกครั้งนี้ เกาหลีเหนือคงไม่เอาจริง

   ที่สำคัญ หากเปิดฉากรบจริง จะเกิดความเสียหายเป็นวงกว้างมาก ไม่เฉพาะแค่เสียหายกับชีวิต และทรัพย์สินของคู่สงครามเท่านั้น แต่จะเสียหายไปถึงเศรษฐกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลก รวมถึงไทยด้วย

   เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนเกาเหลีใต้ ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเอเชีย ทั้ง 2 ประเทศ มีการนำเข้า ส่งออกไปทั่วโลก สร้างเงิน สร้างงาน ให้กับประเทศที่ส่งออกสินค้ามายังทั้ง 2 ประเทศมหาศาล

  ขณะเดียวกัน ยังมีนักลงทุนจากทั่วโลกไปลงทุนทำธุรกิจ การค้าในทั้ง 2 ประเทศจำนวนมาก รวมถึงนักธุรกิจไทย นอกจากนี้ นักลงทุน และนักธุรกิจทั้ง 2 ประเทศก็เข้าไปลงทุนทำธุรกิจในประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงไทยเช่นกัน

 หากเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศเสียหาย จึงเลี่ยงไม่ได้ ที่เศรษฐกิจประเทศอื่น ซึ่งพึ่งพารายได้จากการค้าขาย และจากการลงทุนกับทั้ง 2 ประเทศ จะเสียหายตามไปด้วย








 นี่ขนาดแค่มีข่าวประกาศสงคราม ตลาดหุ้นไทย เอเชีย และทั่วโลก ผันผวนหนัก แมงเม่าหวาดวิตก เทขายหุ้นอย่างบ้าระห่ำ โดยเฉพาะแมงเม่าของไทย ที่จนถึงวันนี้ยังไม่เลิกเทขาย และยังไม่รู้ว่า จะหยุดเทขายกันเมื่อไร

แต่ที่แน่ๆ ทุกวันนี้ รัฐบาลไทยอยากได้เงินค่าข้าว ที่เกาหลีเหนือค้างชำระมาตั้งแต่ปี 2536 รวมกว่า 230 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ใจแทบขาด กระทรวงพาณิชย์ ส่งหนังสือทวงทุกๆ 6 เดือน ในช่วงแรกๆ ก็เสนอให้ไทยเข้าไปลงทุน และหาสินค้าอื่นใช้หนี้ (ไม่ใช่ขีปนาวุธ หรือนิวเคลียร์) พอมาหลังๆ ทำเพิกเฉย ไม่สนใจแล้ว

 แต่เอาเถอะ ยังไม่ใช้หนี้ก็ไม่เป็นไร ไทยใจกว้างเสมอ มีเมื่อไรทยอยจ่ายก็ได้ แต่อย่ามัวเอาเงินที่นานาประเทศบริจาคช่วยเหลือประชาชนไม่ให้อดตาย มียาใช้รักษาโรค ไปทุ่มกับการสร้างขีปนาวุธ และนิวเคลียร์ก็แล้วกัน

 ไม่ใช่อะไร สงสารประชาชน อยากรู้ว่า ผู้นำเคยถามเค้าซักคำหรือเปล่าว่า อยากมีอาวุธนิวเคลียร์ข่มขวัญประเทศอื่น หรืออยากมีข้าวกิน มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายกว่าทุกวันนี้




                     ฟันนี่เอส


                                                            11 เม.ย.56

วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556

จำนำข้าวเปลือกนาปรังแล้ว!













           ไม่ว่าใครจะวิพากษ์วิจารณ์โครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลในทางเสียหายอย่างไร รัฐบาลก็ยังเดินหน้าดันโครงการประชานิยมนี้อย่างสุดลิ่ม แบบไม่แคร์เสียงนกเสียงกาเหล่านั้น!!

เพื่อหวังเป้าหมายสูงสุดคือ ทำให้เกษตรกร ขายข้าวได้ในราคาสูงขึ้น สามารถปลดหนี้สินได้ และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น






           ล่าสุด คณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ที่จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบกรอบวงเงินและมาตรการการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 55/56 ครั้งที่ 2 หรือโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 56 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ

โดยมีเป้าหมายรับจำนำข้าวเปลือก 7 ล้านตัน ลดลงจากที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประมาณการผลผลิตไว้เบื้องต้น 9.167 ล้านตัน เพราะบางส่วนเสียหายจากภัยแล้ง รวมวงเงินที่จะใช้ 105,000 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ในกรอบวงเงินเดิมที่ครม.ได้อนุมัติไว้ที่ 410,000 ล้านบาท

แต่เพื่อป้องกันการนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านเข้าร่วมโครงการรับจำนำโดยใช้สิทธิเกษตรกรไทย และป้องกันการทุจริตให้รัดกุมยิ่งขึ้น ครม.ได้กำหนดเงื่อนไขอื่นๆ เพิ่มเติมอีก เช่น เกษตรกรแต่ละรายจำนำข้าวเปลือกได้ปีละไม่เกิน ครั้ง/แปลง/ ราย หากนำข้าวเปลือกเข้าร่วมโครงการสูงกว่าผลผลิตเฉลี่ยที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ ให้ปรับเพิ่มได้อีกไม่เกิน 20% ที่ความชื้น 15%

ที่สำคัญ ไม่ให้เกษตรกรนำข้าวเปลือกที่มีอายุน้อยกว่า 110 วัน 18 สายพันธุ์ มาจำนำ  และกำหนดให้เฉพาะเกษตรกรเท่านั้นที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ ไม่ให้กลุ่มเกษตรกร หรือสหกรณ์เป็นผู้รวบรวมข้าวจากเกษตรกรแล้วนำมาจำนำแทน








ส่วนระยะเวลารับจำนำ โดยปกติแล้ว จะเริ่มวันที่ 1 เม.ย.-15ก.ย.56 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกรอบแรกที่สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา แต่คราวนี้ ครม.ได้อนุมัติย้อนหลังให้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.-15 ก.ย.56

เพราะปัจจุบัน วงรอบการเพาะปลูกข้าวเปลือกนาปรังเปลี่ยนแปลงไปแล้ว บางพื้นที่ที่มีระบบชลประทานดี จะเริ่มเพาะปลูกเร็ว และเพาะปลูกได้ตลอดปี จึงทำให้มีข้าวเข้าโครงการเร็วกว่าพื้นที่อื่น

แต่ไม่ต้องห่วงจะเกิดทุจริต หรือเกษตรกรรายเดียวกัน ใช้สิทธิ์หลายครั้ง เพราะได้จัดทำระบบป้องกันไว้แล้ว โดยประทับตราที่ใบประทวนว่า เป็นการใช้สิทธิ์รอบใด ซึ่งรัฐบาลยอมให้ 1 ราย ใช้สิทธิ์จำนำได้ไม่เกิน 2 รอบเท่านั้น

ดังนั้น เกษตรกรรายใด ที่ใช้สิทธิ์รับจำนำรอบ 2 แล้วตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา และได้แต่ใบประทวน ยังไม่ได้รับเงิน เมื่อครม.อนุมัติแล้ว ก็สามารถนำใบประทวนไปขึ้นเงินได้ทันที






สำหรับงบประมาณ ที่หลายฝ่ายเกรงไม่เพียงพอ ได้รับการยืนยันจาก นางวัชรี วิมุกตายนปลัดกระทรวงพาณิชย์ ว่า มีเพียงพอแน่นอน เพราะกระทรวงฯได้คืนเงินจากการขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลให้กระทรวงการคลังแล้ว และจนถึงสิ้นเดือนก.ย.นี้ จะมีเงินส่งคืนได้ 180,000 ล้านบาทตามแผน

การรับจำนำ 2 ปีที่ผ่ามา ชาวนาลืมตาอ้าปากได้ และได้เงินไปเต็มๆ 2 แสนล้านบาท เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 3-4 รอบ ช่วยให้จีดีพีประเทศขยายตัวได้มาก นางวัชรีกล่าวทิ้งท้าย

มาถึงตรงนี้ คงไม่ต้องพูดอะไรมากแล้วสำหรับโครงการรับจำนำข้าว เพราะไม่ว่าจะอย่างไร รัฐบาลไม่เลิกแน่นอน แต่ขอให้ติดตามละกันว่า สุดท้ายผลประโยชน์จะตกอยู่ที่เกษตรกรจริงอย่างว่าหรือเปล่า!!




ฟันนี่เอส


                                                                       4 เม.ย.56