วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เรื่องหมูที่ไม่หมู

 
 
 
 
 
 
            ยอมรับว่าตกใจกับข่าวกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ไฟเขียวปรับขึ้นราคาแนะนำขายหมูเป็น และเนื้อหมูชำแหละแบบมหาโหด ไม่เกรงใจเงินในกระเป๋าอันน้อยนิดของประชาชนเอาเสียเลย
 
     โดยหมูเป็นภาคกลางเพิ่มเป็นกก.ละ 79 บาท จากเดิม 70 บาท ภาคอีสานและเหนือกก.ละ 83 บาท และภาคใต้กก.ละ 85 บาท ขณะที่หมูเนื้อแดงในกรุงเทพฯ และภาคกลาง เพิ่มเป็นกก.ละ 140-150 บาท จาก 130 บาท ภาคอีสานและภาคเหนือ กก.ละ 155 บาท จาก 135 บาท และภาคใต้กก.ละ 160 บาท จาก 140 บาท
 
   แต่เมื่อได้ฟังคำชี้แจงของกรมการค้าภายในก็เข้าใจว่า ทำไมหน่วยงาน ที่ควบคุมดูแลราคาสินค้า ค่าครองชีพ และภาวะเงินเฟ้อ จึงยอมเช่นนั้น ก็เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการเลี้ยงที่สูงขึ้นไปถึงกก.ละ 72 บาท จากราคาอาหารสัตว์ และต้นทุนด้านอื่นๆ เพิ่มขึ้น
 
 
 
 
  หนำซ้ำผู้เลี้ยงยังมีต้นทุนสูงขึ้นจากปัญหาหมูตาย จากโรคระบาดพีอาร์อาร์เอส และบีอีบี ซึ่งเป็นไวรัสร้ายแรงจากจีน และเกาหลีใต้ ระบาดมากในช่วงหน้าฝน จนปริมาณหมูเข้าสู่ตลาดลดลงถึง 30% หรือมีหมูเข้าสู่ตลาดไม่ถึง 33,000 ตัว จากช่วงปกติ 38,000 ตัว  
 
 
 
 
  ที่สำคัญ หากยังคุมราคาขายอยู่เท่าเดิม จะเป็นการบิดเบือนกลไกราคา และอาจนำมาซึ่งปัญหาขาดแคลนเหมือนน้ำมันปาล์มบรรจุขวดในช่วงที่ผ่านมา เพราะการควบคุมราคาขายต่ำ แต่ต้นทุนสูงขึ้น ผู้เลี้ยงรายย่อยจะขาดทุนและล้มตายจนเลิกเลี้ยงหมูขาย และเหลือรายใหญ่ไม่กี่เจ้าเท่านั้นที่คุมตลาด
 
 ซึ่งการมีผู้เลี้ยงน้อยราย นอกจากจะทำให้ผลผลิตลดลง และราคาแพงขึ้นตามกลไกตลาดแล้ว รายใหญ่ที่เหลือก็อาจผูกขาดตลาด และร่วมกันกำหนดราคาขาย (ฮั้ว)  ไม่ว่าจะผลิตหมูคุณภาพอย่างไร และราคาสูงขนาดไหน ประชาชนก็ต้องยอม เพราะไม่มีทางเลือกที่หลากหลาย
 
 ดังนั้น การยอมให้ขึ้นราคาครั้งนี้ ถือเป็นการต่อลมหายใจผู้เลี้ยงรายย่อยไปได้อีกระยะหนึ่ง แต่เมื่อโรคระบาดคลี่คลาย และต้นทุนการเลี้ยงลดลงแล้ว ต้องยอมลดราคาขายให้ผู้บริโภคด้วย ไม่ใช่ยังเอาเปรียบกันไม่เลิก
 
 แต่ “ฟันนี่เอส” มองว่า กรมการค้าภายใน ต้องจัดการให้หนักกับฟาร์มเลี้ยงหมูรายใหญ่ ที่ลักลอบส่งออกด้วย เพราะในยามที่ปริมาณในประเทศลดลง ก็ต้องชะลอส่งออกเพื่อให้ปริมาณในประเทศมีเพียงพอ ไม่ใช่ซ้ำเติมผู้บริโภคด้วยการขนออกไปขายเพื่อนบ้าน โดยหวังราคาที่สูงกว่ากก.ละ 5 บาทแบบนี้
 
 นอกจากนี้ ยังต้องตรวจสอบภาวะการค้าตามตลาดสด ห้างสรรพสินค้า และห้างค้าปลีก ไม่ให้ผู้ค้าฉวยโอกาสขายเกินราคาแนะนำด้วย ไม่ใช่ออกตรวจสอบพอเป็นพิธี เห็นใครขายแพงก็ได้แต่ตักเตือนแค่นั้น  
 
 เฮ้อ! เกิดเป็นคนไทยยุคนี้ช่างเหนื่อยยากแสนสาหัส และน่าสงสารที่สุด เพราะถูกสารพัดปัญหาถาโถมเข้าใส่ไม่เว้นแต่ละวัน ตั้งแต่ปัญหาการเมืองไปจนถึงปัญหาปากท้อง แล้วใครจะช่วยได้เนี่ย...
 
 
ฟันนี่เอส
 
  4สค54

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น