วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหาปรมินทรา ภูมิพลอดุลยเดช... พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย


                                                                                                           


                                                                                 





             ธ สถิตในดวงใจนิรันดร์       
  ร่วมถวายความอาลัยต่อการเสด็จสวรรคต
    ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช





ข้าพระพุทธเจ้า
น.ส.สิริวรรณ พงษ์ไพโรจน์






                                                        







                                                     




                                                                           


                                                                                 





ครั้งหนึ่งในชีวิต






 



        ภาพคุ้นตาคนไทย ที่จำได้ไม่เคยลืม และจะไม่มีวันลืมตลอดชีวิตนี้ ...
        ภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เสด็จพระราชดำเนินไปทุกหนทุกแห่งในแผ่นดินนี้  โดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดาร เพื่อดูแลทุกข์สุขของไพร่ฟ้าประชาชน 
        ไม่ว่าจะทรงเหน็ดเหนื่อยสักเพียงไร ก็ไม่เคยหยุด เพียงเพราะต้องการทำให้พสกนิกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และประเทศไทยเจริญทัดเทียมนานาประเทศ
        คิดเสมอว่า คนไทยโชคดีมาก ที่มีพระมหากษัตริย์ ที่ทรงรัก และห่วงใยพสกนิกรมากถึงเพียงนี้
        เคยแอบอิจฉาคนต่างจังหวัด ที่ได้เฝ้ารอรับเสด็จฯบ่อยๆ แต่คนในเมือง นานๆ จะมีสักครั้ง
       เฝ้าคิดเหมือนที่คนไทยทั้งประเทศคิดตลอดว่า ในชีวิตนี้ อยากเฝ้ารับเสด็จฯ และเห็นพระองค์อย่างใกล้ชิดสักครั้ง...
       แล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่เป็นมงคลอย่างที่สุดในชีวิต ...เมื่อ 2-3 ปีก่อน มีโอกาสไปเที่ยวงานเฟสติวัล ที่โรงพยาบาลศิริราช แต่ไปถึงก่อนเวลา คิดว่า ไปเดินเล่นที่วังหลังน่าจะดี
      ขณะกำลังเดินจะถึงอาคารเฉลิมพระเกียรติ เห็นทหาร และตำรวจ กำลังเคลียร์พื้นที่โดยรอบ ในใจสงสัยว่าจะมีอะไร แต่เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นว่า ในหลวงจะเสด็จฯ
       เท่านั้นเอง ไม่ไปไหนแล้ว หาที่นั่งรอรับเสด็จฯอยู่หน้าตึก ประชาชนทยอยจับจองพื้นที่ ชั่วพริบตา บริเวณนั้น เนืองแน่นไปด้วยคนไทยที่มีหัวใจเดียวกัน หัวใจที่ “รักพ่อของแผ่นดิน”
        ไม่ถึงชั่วโมง นายแพทย์ประจำพระองค์ เข็นรถเข็น ที่พระองค์ประทับออกมาจากลิฟท์ และลงมาจากอาคารอย่างช้าๆ เพื่อให้พสกนิกรได้ชื่นชมพระบารมี โดยมีสมเด็จพระเทพฯ โดยเสด็จฯด้วย
        เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ได้เห็นพระพักตร์อย่างใกล้ชิด ความรู้สึกตอนนั้น เหมือนเนื้อเพลง ในหลวงของแผ่นดินคำร้องโดย วิเชียร ตันติพิมลพันธ์ และทำนอง/เรียบเรียงโดย สราวุธ เลิศปัญญานุช ที่ว่า
        มอง เห็นพระเจ้าอยู่หัว ท่ามกลางคนมืดมัว เหมือนเห็นแสงทองส่อง 
       ใจ ตื้นตันเพียงได้มอง พนมมือทั้งสอง ก้มลงกราบด้วยหัวใจ
       มอง พระผู้ทรงเมตตา เฝ้าดูแลประชา ทั่วอาณาใกล้ไกล
       เมื่อยามอ่อนล้า หมดหวังพระองค์อยู่เป็นหลักนำหัวใจ
       ยึดเหนี่ยวอยู่ภายในว่าวันพรุ่งนี้ยังมีหวัง...
        น้ำตาแห่งความปลื้มปิติ ค่อยๆ เอ่อล้น และไหลอาบสองแก้มอย่างไม่อายใคร ประชาชนบริเวณนั้นก็ไม่ต่างกัน ทุกคนพร้อมใจกันเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ไม่ได้ขาด
         แม้วันนี้ “น้ำตาแห่งความปลื้มปิติ” ได้แปรเปลี่ยนเป็น “น้ำตาแห่งความโศกเศร้า” แต่ในหัวใจทุกดวงของคนไทย ยังคงมีพระองค์สถิตอยู่เช่นนี้ตลอดไป
          นับจากนี้ เชื่อเหลือเกินว่า ลูกทุกคน จะรัก และสามัคคีกัน จะร่วมกันทำความดี และสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แผ่นดินไทย แผ่นดินที่ “พ่อ” สร้างขึ้นด้วยความรัก เมตตา ความห่วงใย และหลอมรวมดวงใจทุกดวงให้เป็น “ดวงเดียวกัน”



           ฟันนี่เอส


ภาพวาดประกอบ : ด.ช.พงษ์ไพโรจน์ เลิศสุดวิชัย

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

หยุดต่างชาติยึดท่องเที่ยวไทย!!










            วันก่อน มีโอกาสไปเที่ยวจ.ชลบุรีอย่างละเอียด ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งที่ดี และไม่ดี
โดยเฉพาะมีสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ เกิดขึ้นรองรับนักเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติ ซึ่งมาเยือนที่นี่ปีละจำนวนมาก ทำให้นักท่องเที่ยวไม่เบื่อ และเกิดความตื่นเต้นที่จะมาเที่ยวชมอยู่เสมอ นอกเหนือจากแหล่งท่องเที่ยวที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ไว้ อย่างทะเล และหาดทรายสวยงาม
แต่สิ่งที่ผู้คนในวงการท่องเที่ยวไทยที่นี่ บ่นมากคือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในชลบุรี โดยเฉพาะพัทยา อยู่ในมือคนต่างชาติไปแล้ว หลักๆ คือ รัสเซีย และจีน มีเยอรมันสอดแทรกบ้าง


 






ทำให้เงินที่นักท่องเที่ยว 2 ชาติใช้จ่ายในจ.ชลบุรี ตกอยู่ในแผ่นดินไทยน้อยมาก เจ้าพ่อเจ้าแม่ มาเฟียทั้ง 2 ชาติเอาไปกินหมด!! คนต่างชาติเหล่านี้ ทำธุรกิจต้องห้ามตามพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวพ.ศ.2542 ในไทยได้อย่างไร? ทั้งการซื้อขายที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ฯลฯ
คำตอบง่ายนิดเดียว คนต่างชาติเหล่านี้มักมีนอมินี หรือผู้สมรู้ร่วมคิดเป็นคนไทย ที่คอยให้การช่วยเหลือ และสนับสนุน บางคนก็เข้ามาแต่งงานกับคนไทย แล้วให้สามี หรือภรรยาคนไทยซื้อขายที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ ตั้งบริษัททำธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
ถ้าเดินตามกรุ๊ปทัวร์ของทั้ง 2 ชาติจะรู้ว่า ไม่ได้มากับบริษัททัวร์ของคนไทย แต่เป็นบริษัทของชาติเค้าเอง ไม่มีไกด์คนไทย ไม่ได้พักโรงแรมของไทย แต่เป็นอพาร์ทเมนต์ของเค้าเองอีก รถบัส รถตู้ที่ใช้รับนักท่องเที่ยวก็เป็นของเค้าอีกเช่นกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก











ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวใด ที่ไม่มีผลประโยชน์ให้บริษัททัวร์ ก็จะไม่เอากรุ๊ปทัวร์มาลง ทำให้สถานที่แห่งนั้นแทบจะหายไปจากแผนที่ท่องเที่ยวของจังหวัด อย่าง “วิหารเซียน” หรือ “อเนกกุศลศาลา”
สาเหตุที่ทัวร์จีนไม่เข้าชม เพราะที่นี่เขียนป้ายบอกค่าเข้าชมชัดเจน คนละ 50 บาททั้งไทย และต่างชาติ บริษัททัวร์โขกค่าเข้าชมจากลูกทัวร์ไม่ได้ จึงไม่พาเข้าชม ทั้งๆ ที่ มีศิลปวัตถุโบราณที่พบในสุสาน “จิ๋นซีฮ่องเต้” รวมถึงศิลปวัตถุโบราณ และภาพเขียนโบราณล้ำค่า ที่รัฐบาลจีน และไต้หวันมอบให้จำนวนมาก









การทำธุรกิจท่องเที่ยวของคนต่างชาติในไทย ที่ทำแบบครบวงจร โดยใช้ทรัพยากรของไทยเช่นนี้ ถือเป็นการเอาเปรียบคนไทย เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย น่าเกลียด และไร้ยางอายที่สุด!!
ที่สำคัญ ทำให้ธุรกิจของคนไทยในจังหวัดได้รับผลกระทบด้วย สถานการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นแล้วในแทบจะทุกจังหวัดแหล่งท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต กระบี่ เชียงใหม่ ฯลฯ ภาครัฐมัวแต่ดีใจกับตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยไม่บอกความจริงให้สาธารณชนรู้ว่า เงินทุกบากทุกสตางค์ที่นักท่องเที่ยวใช้จ่าย ตกอยู่ในแผ่นดินไทยจริงหรือไม่ แล้วจะปล่อยให้สถานการณ์เลวร้ายลงกว่านี้หรือ จะมีใครแก้ปัญหาหรือไม่




                                    
ตอนนี้เห็นเพียงการสุ่มตรวจสอบนอมินีในจังหวัดท่องเที่ยว ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ซึ่งล่าช้ามาก เพราะคนทำกลัวกว่า ถ้าทำอะไรดุเด็ดเผ็ดมัน จะกระทบการท่องเที่ยวไทยได้ แต่กลับกัน ถ้าปล่อยให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย จะไม่กระทบต่อการท่องเที่ยวไทยมากไปกว่านี้หรือ



ถึงเวลาที่ต้องช่วยกันกวาดล้างพฤติกรรมเช่นนี้ให้หมดไป ก่อนที่ประเทศไทยจะสูญเสียเอกราชในธุรกิจท่องเที่ยวให้ “ขบวนการใต้ดิน” เหล่านี้!!


14 ม.ค.59

         ฟันนี่เอส