วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

นี่ล่ะประเทศไทย








            ทุกวันนี้ ประเทศไทยยังได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิต และขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา มากที่สุดอีกประเทศหนึ่งในโลก ถึงขนาดที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ รู้จักแหล่งซื้อขายสินค้าก๊อปปี้ (ของปลอมทำเลียนแบบสินค้าแบรนด์เนม) ชื่อดังเป็นอย่างดี

    เพราะเจ้าของสิทธิ์ชาวต่างประเทศ ได้ประจานชื่อแหล่งขายสินค้าเหล่านี้ผ่านทางเว็บไซต์เป็นประจำทุกปี ซึ่งรวมถึงแหล่งขายของปลอมในประเทศอื่นๆ ด้วย

            ในเมืองไทย สาเหตุการละเมิดน่าจะมาจาก คนไทยไม่มีเงินมากพอซื้อสินค้าลิขสิทธิ์ที่มีราคาแพง รวมถึงของปลอม ผลิตได้รวดเร็ว ทันใจผู้ซื้อ อย่างหนังฮอลลีวูด ที่คนไทยได้ดูพร้อมคนอเมริกัน จากเดิมกว่าจะมาฉายเมืองไทยก็ 3 เดือนผ่านไปแล้ว








            เมื่อก่อน การขายสินค้าละเมิด วางขายกันหน้าร้าน พ่อค้าแม่ค้าเชิญชวนลูกค้าให้เข้ามาเลือกซื้ออย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทั้งที่เป็นของเถื่อน ของปลอม ของผิดกฎหมาย

            ที่เป็นเช่นนี้ คนในวงการระบุว่า มีการ “จ่าย” ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ และส่วนกลางในทุกระดับชั้น

            การกระทำเช่นนี้ สร้างความเสียหายให้กับเจ้าของสิทธิ์เป็นอย่างมาก เพราะการที่ผู้ซื้อนิยมซื้อของปลอมราคาถูกอย่างกว้างขวาง ทำให้ของจริง ราคาแพงขายไม่ออก ที่สำคัญทำให้เจ้าของสิทธิ์ และผู้สร้างสรรค์ผลงานที่เป็นคนไทย หมดกำลังใจสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ออกสู่ตลาด ส่งผลให้อุตสาหกรรมหนัง และเพลงของไทยไม่พัฒนาเสียที

    แต่ปัจจุบันนี้ เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยี การขายของเถื่อนหน้าร้านค้าเริ่มลดลง เพราะผู้ค้าหันมาขายของบนโลกออนไลน์กันมากขึ้น!!

   เพราะสามารถทำได้โดยเสรี เนื่องจากกฎหมายลิขสิทธิ์ยังไม่ครอบคลุมการขายของเถื่อนบนอินเตอร์เน็ต แต่การขายของหน้าร้าน เมื่อถูกจับได้ สินค้าเหล่านั้นจะกลายเป็นของกลางมัดตัวผู้กระทำผิดทันที  






   ล่าสุด กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ได้ยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลิขสิทธิ์ ให้ครอบคลุมการขายสินค้าละเมิดทางอินเตอร์เน็ต และการป้องกันการแอบถ่ายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี พิจารณาเห็นชอบในเร็วๆ นี้ จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอนต่อไป

   แต่ในระยะเร่งด่วนนี้ ได้ประสานกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) บล็อกหน้าเว็บไซต์ที่ขายสินค้าละเมิด หรือเปิดให้การละเมิด ในระยะต่อไปอาจพิจารณาบล็อกทั้งเว็บไซต์ด้วย

   การทำแบบนี้ นอกจากหวังให้การละเมิดในประเทศน้อยลงแล้ว ยังสนองความต้องการสหรัฐฯ ที่แต่ละปีเสียหายมูลค่ามหาศาลจากการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสหรัฐฯในไทย จนต้องขึ้นบัญชีไทยถูกจับตามองเป็นพิเศษด้านทรัพย์สินทางปัญญา และหวังให้สหรัฐฯปลดออกจากบัญชีนี้ในปีนี้

  แต่ “ฟันนี่เอส” ว่าการแก้ปัญหาเลวร้ายที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ควรแก้ที่ต้นตอคือ สันดานไม่ดีของคนไทยก่อนจะดีกว่า แม้จะใช้เวลานาน.. แต่การเริ่มต้นวันนี้ก็ยังไม่สายเกินไป

        

                       ฟันนี่เอส


                                      2 ก.พ.55

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

โปรโมตสินค้าจีไอ




                                                     
              เมื่อต้นสัปดาห์ เห็นข่าวกระทรวงพาณิชย์ จะโปรโมตสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของไทย (Geographical Indications : GI) โดยจะขอความร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศ (ททท.) ให้โปรโมตสินค้าจีไอ พ่วงกับการโปรโมตแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดต่างๆ ด้วย

              เพื่อให้คนไทย และต่างชาติ ได้รู้จัก ได้กิน และได้ใช้สินค้าเหล่านั้น ถึงขั้นเมื่อไปจังหวัดนั้นๆ หรือท้องถิ่นนั้นๆ แล้วต้องซื้อเป็นของฝาก ของที่ระลึก ไม่เช่นนั้นจะถือว่าไปไม่ถึงกันเลยทีเดียว





             เหมือนการไปแคว้น Champagne ในฝรั่งเศส ก็ต้องดื่มไวน์ฟอง หรือที่เรียกว่า แชมเปญ หรือเมื่อไปถึงเมือง Bordeaux  ก็ต้องดื่มไวน์บอร์โดซ์

     ถือเป็นการขยายตลาด และเพิ่มยอดการค้าให้สินค้าจีไอ อีกทั้งยังเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้คนในท้องถิ่น และทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

    แต่เชื่อเหลือเกินว่า คนส่วนใหญ่ ยังไม่รู้จัก “สินค้าจีไอ” คืออะไร?

    สินค้าจีไอ คือสินค้าที่แต่ละท้องถิ่นผลิตได้ และเรียกชื่อสินค้านั้นๆ ตามชื่อของท้องถิ่นที่ผลิตได้ และไม่ใช่สินค้าโอทอปที่ผลิตกันได้ทั่วไป ไม่ว่าจะท้องถิ่นไหนก็ผลิตสินค้าเหมือนกันไปหมด









    อย่าง สับปะรด เมื่อเอาสับปะรดภูเก็ตไปปลูกที่ภูเก็ต จะเรียกว่า สับปะรดภูเก็ต แต่เมื่อเอาพันธุ์เดียวกันไปปลูกที่ต.นางแล จ.เชียงราย จะเรียกชื่อใหม่ว่า สับปะรดภูแลเชียงราย หรือส้มโอขาวแตงกวา ชัยนาท หมูย่างเมืองตรัง  ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ มะขามหวานเพชรบูรณ์ ผ้าไหมแพรวากาฬสินธุ์ เป็นต้น

            นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ ยังจะผลักดันให้ผู้ผลิต ยื่นคำขอจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา ให้มากขึ้น เพื่อได้รับความคุ้มครอง กรณีที่มีคนนอกท้องถิ่น แอบอ้างใช้ชื่อสินค้าจีไอกับสินค้านอกท้องถิ่น ซึ่งจะถือเป็นการละเมิด และมีความผิดตามกฎหมาย






    แต่น่าเสียดาย จนถึงขณะนี้ มีการยื่นขอคำจดเพียง 85 คำขอ และรับขึ้นทะเบียนแล้ว 72 คำขอเท่านั้น ยังมีอีก 39 จังหวัด รวมกรุงเทพฯ ที่ไม่ได้ยื่นขอจด ทั้งที่ในจังหวัดเหล่านี้มีสินค้าจีไอจำนวนมาก

   ฟันนี่เอส” มองว่า สาเหตุสำคัญที่ไม่มีการจดทะเบียน เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า สินค้าจีไอคืออะไร ที่สำคัญผู้ผลิตไม่รู้หรอกว่า สินค้าที่ผลิตได้ถือเป็นสินค้าจีไอหรือไม่ หรือเป็นสินค้าโอทอป แล้วจำเป็นต้องขึ้นทะเบียนด้วยหรือ เพื่ออะไร มีขั้นตอนยุ่งยากขนาดไหน

    แนวคิดดังกล่าวของกระทรวงพาณิชย์ ถือเป็นความคิดสร้างสรรค์ ที่จะทำให้ต่างชาติได้รู้จักความหลากหลายในสินค้าไทยมากขึ้น แล้วยิ่งหากสินค้าจีไอของไทย ได้รับการขึ้นทะเบียนในต่างประเทศ อย่างความพยายามที่ไทยกำลังยื่นขอจดทะเบียน “ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้” ในสหภาพยุโรป ก็จะยิ่งเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าไทยได้มากขึ้น

    แต่ก่อนไปถึงขั้นตอนการโปรโมต และผลักดันให้ยื่นขอจดทะเบียนมากขึ้นนั้น อยากให้กระทรวงพาณิชย์ ประชาสัมพันธ์ให้คนไทยได้รู้จักสินค้าจีไอ และประโยชน์ของการจดทะเบียนก่อนจะดีกว่า

    เพราะเชื่อจริงๆ ว่า คนทั่วไปยังใบ้กินกับ “สินค้าจีไอ” ซึ่งจะทำให้การเดินตามแผนของกระทรวงพาณิชย์ไม่บรรลุเป้าหมาย และอาจล้มเหลวไม่เป็นท่าด้วยซ้ำ



ฟันนี่เอส


26 ม.ค.55

ลด ละ เลิกคอร์รัปชัน








              วันก่อน ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงผลสำรวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทยปี 54 ว่า มีสถานการณ์ดีขึ้น โดยมีคะแนนรวมอยู่ที่ 3.6 คะแนน จากเต็ม 10 คะแนน เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อนในเดือนมิ.ย.54 ที่มีคะแนน 3.3  

      ส่วนดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันในปัจจุบันอยู่ที่ 3.3 คะแนน เพิ่มขึ้นจาก 3.1 และดัชนีแนวโน้มสถานการณ์คอร์รัปชันอยู่ที่ 3.9 คะแนน เพิ่มขึ้นจาก 3.8

     แม้ภาพรวมจะมีคะแนนเพิ่มขึ้นในทุกดัชนี แต่ยังถือว่า การทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทยยังอยู่ในขั้นรุนแรง เพราะคะแนนที่ได้ต่ำมาก ยังไม่ผ่านครึ่งหนึ่งเลยด้วยซ้ำ

     ที่สำคัญ ภาคเอกชนแทบทุกคนยังคงจ่ายเงินใต้โต๊ะ หรือสินบน ให้กับหน่วยงานภาครัฐ และนักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติโครงการต่างๆ เพื่อให้ได้งานสูงถึง 25-30% เหมือนเดิม

     หากคิดเป็นเม็ดเงินจะอยู่ที่ 172,920-227,616 ล้านบาท ของวงเงินงบลงทุนของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ รวมกับค่าครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง ในปีงบ 54 ที่ 758,720 ล้านบาท หรือ 8.35-11% ต่องบประมาณรายจ่ายปี 54 ที่ 2.07 ล้านล้านบาท และ 1.62-2.13% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของปี 54 ที่ 10.66 ล้านล้านบาท

    โดยกิจกรรมที่มีโอกาสเกิดคอร์รัปชันมากสุดคือ ซ่อมและสร้างถนน/สะพาน ตามด้วยการซื้ออุปกรณ์ของภาครัฐ การจ่ายเงินชดเชยช่วยน้ำท่วม การชดเชยพันธุ์พืช/สัตว์ และการให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ ตามนโยบายรัฐ ส่วนสาเหตุที่ยังจ่ายใต้โต๊ะอยู่ เพราะต้องการได้งานจากภาครัฐ ถ้าไม่จ่าย คนอื่นก็ได้งานไป จึงทำให้ปัญหาวนเวียนไม่จบสิ้น ตราบใดที่ยังมีคนเต็มใจจ่าย คนรับก็พร้อมรับเป็นธรรมดา





    ถ้าในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ยังมีการจ่ายใต้โต๊ะอยู่เช่นนี้ เม็ดเงินจากการคอร์รัปชันจะสูงถึง 800,000-1 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว

    เม็ดเงินเหล่านี้ หากนำมาใช้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่สูญหายไปเข้ากระเป๋าใคร จะก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศมหาศาล ทำให้โครงการก่อสร้างต่างๆ สมบูรณ์แบบ และเกิดประสิทธิภาพอย่างเต็มที่




    ไม่ใช่ผู้รับเหมาก่อสร้างต้องลดสเปกต์งาน จนทำให้ได้งานสุดห่วยเหมือนในปัจจุบัน อย่างถนนบางสาย ที่ใช้ไม่นานก็ทรุด หรืออย่างสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ลดคุณภาพวัสดุก่อสร้าง และสิ่งของเครื่องใช้ภายในสนามบินจนแทบไม่มีดี

   “ฟันนี่เอส” อยากให้ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกินบ้านกินเมือง รู้จักลด ละ เลิก บ้าง โดยเฉพาะนักการเมือง ที่น่าจะเพลามือลงบ้าง ไม่ใช่แสวงหาประโยชน์ไม่จบสิ้น เช่นเดียวกับข้าราชการ ที่น่าจะรักศักดิ์ศรี และเกียรติของข้าของแผ่นดิน

   ส่วนคนไทย ต้องรู้จักตื่นตัวกับการพิษภัยของการคอร์รัปชัน ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตนเอง ทั้งทางตรง และทางอ้อม และตื่นตัวกับการปราบปรามให้มากกว่านี้ ขณะที่รัฐบาลเอง ก้อยากให้วางยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาคอร์รัปชันในประเทศให้ลดน้อยลง

  เพราะไม่อยากเห็นประเทศไทยจมปลักดักดาน เป็นประเทศด้อยพัฒนาล้าหลังชาวโลก และไม่ต้องการให้ไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศหนึ่งที่มีการคอร์รัปชันมากที่สุดในโลก!!



  ฟันนี่เอส

19 ม.ค.55

ลด ละ เลิกคอร์รัปชัน

ฝากความหวังรัฐบาล




              ณ วันนี้ ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ของไทยยังหนีไม่พ้นเรื่องน้ำ และการบริหารจัดการน้ำในระยะยาว เพราะมีข่าวว่าในอีก 4-5 เดือนข้างหน้านี้ จะมีน้ำระลอกใหม่มาอีกแล้ว

  ไม่รู้ว่าจะเกิดมหาอุทกภัย สร้างความสูญเสียให้กับคนไทย และประเทศชาติเหมือนในช่วงที่ผ่านมาอีกหรือไม่

 แต่ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา ได้อนุมัติแผนบริหารจัดการน้ำในประเทศ วงเงิน 322,626 ล้านบาท เพื่อหวังบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ และแก้ปัญหาอุทกภัยในระยะสั้น

              โดยแผนดังกล่าว แบ่งเป็นแผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยในระยะเร่งด่วน วงเงิน 22,620 ล้านบาท เช่น ปรับปรุงคันกั้นน้ำ อาคารบังคับน้ำ ระบบระบายน้ำ ขุดลอกคลองและขจัดสิ่งกีดขวาง เสริมคันกั้นน้ำตามแนวพระราชดำริ พัฒนาระบบเตือนภัยและการพยากรณ์ บริหารจัดการเขื่อนเก็บน้ำหลักและการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำของประเทศ เป็นต้น




             และแผนการแก้ปัญหาอุทกภัยระยะยาวและยั่งยืนในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา วงเงิน 300,000 ล้านบาท โดยให้ความสำคัญกับการบริหารน้ำ ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เช่น อนุรักษ์ป่าต้นน้ำ ดินต้นน้ำ และสร้างอ่างเก็บน้ำ ทำฟลัดเวย์เพื่อผันน้ำในแนว 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา กำหนดพื้นที่แก้มลิง 2 ล้านไร่ เป็นต้น

            ซึ่งในวันเสาร์ที่ 14 ม.ค.นี้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ จะชี้แจงให้นักลงทุน นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก ประมาณ 2,000 คน ได้รับทราบถึงแผนบริหารจัดการน้ำ ที่เพิ่งผ่านครม.ไปนี้

เพื่อเรียกความมั่นใจ ที่สูญเสียไปกลับคืนมา และหวังไม่ให้ย้ายฐานการผลิตหนีจากไทยไปไหนอีก









แต่ระหว่างที่รัฐบาลยังไม่ได้เริ่มต้นดำเนินการอะไร คนไทยคงต้องดิ้นรนหาทางรับมือน้ำด้วยตัวเอง โดยล่าสุด หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจะจัดงานระดมสมองเรื่อง "น้ำ! มิตรหรือศัตรู กับหนทางสู่ความผาสุกอย่างยั่งยืน"  ในวันที่ 13 ..นี้ เพื่อหาแนวทางป้องกันน้ำท่วมที่ชัดเจน และไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำอีก

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ คนไทยทั้งประเทศ รวมถึงนักลงทุน และนักธุรกิจต่างชาติ ที่ทำธุรกิจในไทย ต่างฝากความหวังไว้กับรัฐบาลชุดนี้ว่า จะสามารถดำเนินการได้ตามที่กำหนด เพื่อให้แผนดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำของประเทศอย่างเต็มที่

             รวมถึงยังฝากความหวังไว้อีกว่า อย่าให้มีการโกงกินงบกว่า 3 แสนล้านบาทนี้เลย เพราะถ้ามีการรั่วไหล และนำไปใช้ประโยชน์จริงไม่เท่าไร จะส่งผลให้แผนแก้ปัญหาน้ำไม่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง

            ที่สำคัญ จะเกิดปัญหาทั้งน้ำท่วม น้ำแล้งซ้ำซากอย่างไม่จบสิ้น สร้างความเสียหายให้คนไทย และประเทศชาติไม่จบสิ้นเช่นกัน!!


 ฟันนี่เอส

12 ม.ค.55

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

กำลังใจ...จากผู้อ่าน








                วันนี้คงยังไม่สายที่จะกล่าวคำว่า สวัสดีปีใหม่ 2555 กับคุณผู้อ่านทุกๆ ท่าน ในช่วงวันหยุดยาว หวังว่า คงชาร์จแบตเตอรี่กันเต็มที่ และพร้อมกลับมาทำงานด้วยความกระชุ่มกระชวย

               ฟันนี่เอส ก็พร้อมกลับมาทำหน้าที่ตามปกติแล้วค่ะ

                ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ส่งคำติชมคอลัมน์ กระจก8หน้า มาอย่างล้นหลาม ทีแรกตั้งใจว่า จะแจกไดอารี่ปี 2555 ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ให้เพียง 4 เล่

   แต่พอได้เห็นคำติชม ที่ส่งมาจำนวนมาก ต้องใจอ่อนและเพิ่มจำนวนให้เป็น 6 เล่ม (มีจำนวนจำกัดจริงๆ) เพื่อแสดงความขอบคุณที่สละเวลาเขียนมาให้กำลังใจผู้เขียนประจำคอลัมน์นี้

  ที่จริง วันนี้ อยากจะนำคำติชมของทุกท่านที่ส่งมาให้มาเผยแพร่ แต่เพราะเนื้อที่คอลัมน์มีจำนวนจำกัดจริงๆ จึงขอเอามาลงเท่าที่เนื้อที่จะอำนวยแล้วกันนะคะ

  เริ่มจากความคิดเห็นที่ส่งมาเป็นคนแรก คอลัมน์ "กระจก 8 หน้า" สะท้อนประเด็นปัญหาต่างๆ ในสังคมที่เป็น Talk of The Town ได้อย่างถึงกึ๋น ให้แง่มุมและความคิดใหม่ๆ เสมอ เปรียบเสมือนกระจกที่คอยสอดส่องสะท้อนสภาพของสังคมไทยอย่างแท้จริง






 “…อ่านคอลัมน์ท่านประจำ ได้กระจ่างแจ้งในสังคมไทยแทบทุกด้าน โดยไม่ต้องไปวิเคราะห์เจาะลึกหาคำตอบจากไหน นำไปใช้ในการพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้....ที่สำคัญ นำไปบอกกล่าว ชี้แนะคนรุ่นหลังได้ ...(ห้าสิบบวกแล้ว)...ขอให้อยู่คู่หน้าแปดไปตลอดกาลนาน....สุขีวันปีใหม่ ๒๕๕๕ ครับ...

              ดิฉันได้ติดตามอ่านคอลัมน์กระจก 8 หน้ามาพอสมควร คอลัมน์นี้มีประโยชน์ที่สรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้กระชับ ชัดเจน และโดนใจผู้อ่านมาก  แต่ข้อที่อยากให้ปรับปรุง มีเพียงขยายคอลัมน์ให้มีพื้นที่มากกว่านี้ค่ะ...

  ”ผมเป็นผู้อ่านมือใหม่ครับ นานๆๆจะได้ซื้อหนังสือพิมพ์อ่าน  แต่ปัจจุบันผมซื้อทุกวันเลยครับ ผมอ่านมาเจอคอลัมน์ ที่พี่เขียนรู้สึกว่าน่าอ่าน อ่านเข้าใจง่าย ใช้ภาษาไม่ยืดเยื้อจนเกินไปครับ...” 

  อ่านมา 10 กว่าปีแล้ว ให้ความรู้ และด่าพวกนักการเมืองชอบกินได้สะใจมาก ทำให้รู้ทันพวกคนชั่ว อยากให้เขียนถึงพวกนักการเมืองที่ชอบโกงกินเยอะๆ แม้มันจะไม่เลิกกินบ้านกินเมือง แต่ก็น่าจะละอายบ้าง

  นี่ล่ะค่ะคือกำลังใจที่ทำให้ ฟันนี่เอส และผู้เขียนประจำคอลัมน์นี้ยืนหยัดที่จะวิพากษ์สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในบ้านเรา (บางครั้งอาจจะมีต่างประเทศ) ให้ผู้อ่านได้รับทราบอย่างตรงไปตรงมา เป็นกลาง ไม่เอนเอียงเข้าข้างใครหน้าไหนทั้งสิ้น

  ให้ทุกท่านได้รับรู้ถึงความดี ความเลว และผลของการกระทำทั้งในด้านดีและร้าย ทั้งจากน้ำมือของคนมีสีและไม่มีสี นักการเมือง ผู้บริหารประเทศ นักธุรกิจ รวมถึงคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างเราๆ
 
  เพื่อจะได้ช่วยกันเป็นพลังหยุดยั้งความไม่ดีทั้งหลายในบ้านเมือง และทำให้ประเทศไทยมีแต่ความสงบสุข และเจริญรุ่งเรืองชั่วลูกชั่วหลาน


           ฟันนี่เอส

                                                          5 ม.ค. 55