วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

ทิ้งทวนหาเสียง


       
         ก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะประกาศยุบสภา ก็ทยอยออกโครงการต่างๆ มาเซอร์ไพรส์คนไทยไม่น้อย เรียกว่า เป็นการทิ้งทวนช่วยเหลือ (หาเสียง) ประชาชน หนึ่งในนั้นคือ มาตรการช่วยเหลือให้ประชาชนมีบ้านหลังแรกเป็นของตนเองได้ง่ายขึ้น

ซึ่งขณะนี้ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กำลังให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดทำรายละเอียดของโครงการเพื่อเร่งนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์หน้า หากได้รับไฟเขียวก็สามารถดำเนินการได้ทันทีสำหรับโครงการแรก ส่วนโครงการหลัง ต้องรออีกระยะหนึ่ง

โดยโครงการแรก คือ โครงการบ้านหลังแรก ดอกเบี้ย 0% ใน 2 ปีแรก ซึ่งจะทำให้ผู้กู้ซื้อบ้านมีภาระผ่อนชำระเฉพาะเงินต้นเท่านั้น แต่ต้องเป็นการกู้ซื้อบ้านไม่เกินหลังละ 3 ล้านบาท กู้สูงสุด 30 ปี ยื่นคำขอกู้ได้วันที่ 1 พ.ค.– 30 ธ.ค.54   และทำนิติกรรมภายในวันที่ 1พ.ค.55 วงเงินสินเชื่อรวมทั้งหมด 50,000 ล้านบาท

และโครงการแปลงเช่าเป็นซื้อ เพื่อให้คนที่เช่าบ้านอยู่แล้วสามารถแปลงค่าเช่า ที่ต้องเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ในแต่ละเดือนเป็นเงินผ่อนเพื่อซื้อบ้านได้ โดยผู้มีสิทธิ์กู้ซื้อบ้านต้องราคาไม่เกินหลังละ 1.5 ล้านบาท และเสียค่าเช่าอยู่แล้วเดือนละไม่เกิน 10,000 บาท

ไม่เพียงแค่นั้น ที่รัฐบาลจะทุ่มให้ประชาชน แต่รัฐบาลยังจะรับภาระค่าธรรมเนียมการโอน และการจดจำนองอีก โดยคาดว่า ทั้ง 2 รายการนี้ รัฐบาลจะใชงบประมาณสนับสนุนประมาณ 600 ล้านบาท

         เป็นไงล่ะ! แค่นี้ก็กระตุ้นต่อมอยากของคนที่กำลังคิดจะมีบ้าน แต่ยังกล้าๆ กลัวๆ ให้เร่งตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นแล้ว ถือว่า เป็นมาตรการที่ถูกใจคนมีรายได้ปานกลางมากโข

        เพราะการกู้เงินโดยปลอดดอกเบี้ยนานถึง 2 ปี จะช่วยประหยัดเงิน ที่จะนำมาชำระดอกเบี้ยให้ธนาคารได้มากทีเดียว ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงของ “ฟันนี่เอส” ก็แล้วกัน กู้เงินซื้อบ้าน 2 ปีแรก ต้องเสียดอกเบี้ยให้ธนาคารมากถึงปีละเกือบ 90,000 บาท รวม 2 ปีก็เกือบ 180,000 บาท ถ้าไม่ต้องเสียเงินก้อนนี้เป็นดอกเบี้ย แต่เอามาผ่อนเป็นเงินต้นแทน จะทำให้สามารถผ่อนชำระหนี้ได้หมดเร็วขึ้นมาก

คนที่ยังไม่เคยผ่อนบ้าน คงไม่รู้หรอกว่า เงินที่เราหามาได้แบบเลือดตาแทบกระเด็น เพื่อเป็นค่าผ่อนบ้าน แต่ส่วนใหญ่หมดไปกับค่าดอกเบี้ยให้ธนาคาร โดยมีเงินต้นเพียงเล็กน้อยนั้นน่ะ มันสาหัสสากรรจ์ขนาดไหน!!

        นอกจากนี้ ยังถือเป็นการกระตุ้นวงการอสังหาริมทรัพย์อีกทางหนึ่งด้วย เพราะทำให้ประชาชนตัดสินใจซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น และเร็วขึ้น ไม่ต้องกังวลว่า จะมีปัญหาในการผ่อนชำระ

แต่น่าเสียดายก็ตรงที่ โครงการนี้จะไม่ให้คนที่ผ่อนบ้านอยู่ก่อนแล้วกับธนาคารพาณิชย์แห่งอื่น มารีไฟแนนซ์ เพื่อป้องกันปัญหา และความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น เพราะคาดว่าจะมีคนจำนวนมากที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระมาขอรีไฟแนนซ์กับธอส.

เอาล่ะ! ใครที่กำลังจะซื้อบ้านต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อจะได้รับสิทธิ์ขอกู้ ขืนชักช้า และพลาดโอกาส ก็ไม่รู้ว่า รัฐบาลหน้าจะซื้อเสียงประชาชนแบบนี้อีกหรือเปล่า

                                                           ฟันนี่เอส

                                                                                        28 เมย 54

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

อย่าขายของเงินเชื่อ!

        

           ท่ามกลางข่าวร้าย ข่าวไร้สาระ ที่เกิดขึ้นในประเทศ ทั้งข่าวความสูญเสียในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ข่าว 3 สาวโคโยตี้เปลือยอกเต้นโชว์แบบไม่สะทกสะท้าน ข่าวการเมืองที่คนไทยเฝ้าเคาต์ดาวน์วันยุบสภา และรอดูหน้านายกรัฐมนตรีคนใหม่ เรื่อยไปถึงข่าวการขึ้นราคาสินค้าแบบรายวัน

            ที่ล้วนแล้วแต่เขย่าขวัญสั่นประสาทคนไทยทั่วประเทศอยู่ไม่น้อย!! แต่ยังนับว่าโชคดี ที่ท่ามกลางข้าวร้ายยังมีข่าวดีเข้ามาแทรกให้ได้ชุ่มชื่นหัวใจอยู่บ้าง

            ในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1 ที่กรุงเทพฯ วันที่ 18 เม.ย. นาย อีกอร์ มานีลอฟ รมช.พัฒนาเศรษฐกิจ รัสเซีย แจ้งกระทรวงพาณิชย์ไทยว่า พร้อมชำระหนี้ข้าวที่ค้างชำระรัฐบาลไทยมาตั้งแต่ปี 2533 เป็นเงินสดตามมูลหนี้ที่เหลือ 36.44 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 1,000 ล้านบาท (30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ) คาดว่า จะชำระได้ในเร็วๆ นี้

แต่กระทรวงพาณิชย์ไทย คาดว่า น่าจะชำระหนี้ได้ภายใน 1-2 เดือนนี้  ซึ่งรัฐบาลไทยจะมีเงินเข้าคลังเพิ่มขึ้น แม้จะไม่มากนัก แต่ถือเป็นความสำเร็จของกระทรวงพาณิชย์ครั้งประวัติศาสตร์ ที่พยายามติดตามทวงถาม และเสนอทางเลือกที่ง่ายที่สุดให้รัสเซียชำระหนี้ได้สำเร็จ  โดยให้ชำระเป็นเงินสด ไม่คิดดอกเบี้ยปรับ

เพราะถือว่า หนี้ก้อนนี้ กระทรวงพาณิชย์ใช้ความพยายามเจรจากับรัสเซียอยู่นานหลายปี เรียกว่า เจรจากันอย่างสาหัสสากรรจ์ เลือกวิธีการชำระหนี้หลายรูปแบบ เช่น ให้รัสเซียชำระเป็นสินค้า อย่างอาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องบิน ปุ๋ย หรือแม้แต่น้ำมัน และผ่านรัฐมนตรีมานับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่สำเร็จเสียที

 ส่วนอีกรายที่ยังติดหนี้ค่าข้าวกับรัฐบาลไทยมาตั้งแต่ปี 2536 คือ รัฐบาลเกาหลีเหนือ รวมมูลค่าประมาณ 120 ล้านเหรียญฯ  ซึ่งก้อนหนี้ชำระมาแล้วเกือบ 20 ล้านเหรียญฯ แล้วยังมีหนี้อีกก้อนที่ซื้อข้าวจากไทย 300,000 ตัน ในรูปแบบสินเชื่อ 3 ปี มูลค่าน่าจะใกล้เคียง 100 ล้านเหรียญฯ เท่าที่รู้ กระทรวงพาณิชย์ไม่ขยับเจรจากับเขามานานแล้ว

อยากให้กระทรวงพาณิชย์ เร่งเจรจาโดยเร็ว ขืนช้า ก็อาจกลายเป็นหนี้สูญได้ เพราะเกาหลีเหนือไม่ได้มีฐานะทางการเงินดีเหมือนรัสเซีย

ฟันนี่เอส ต้องการให้กระทรวงพาณิชย์เอาเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียน และพึงระลึกไว้เสมอว่า การขายสินค้า อย่าขายเป็นสินเชื่อ  เพราะลูกค้าทุกราย ที่ขอซื้อเงินเชื่อ ย่อมมีฐานะทางการเงินไม่ดีนัก  ขายเป็นเงินสดดีที่สุด!!

การมีมนุษยธรรม หรือการเป็นห่วงประชาชนประเทศอื่นจะไม่มีข้าวกิน ถือเป็นสิ่งดี แต่อย่าลืมคิดถึงคนไทยเป็นอันขาด เพราะหากรัฐบาล ขายของเงินเชื่อกับหลายๆ ประเทศ ก็อาจไม่มีเงินมากพอที่จะทำประโยชน์ให้กับคนไทยก็ได้ (เพราะงบประมาณหมดไปกับการโกงกินซะมาก)

                                            ฟันนี่เอส

                                                    21เมย54

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554

คืนชีพร้านค้าสหกรณ์

 
            
            เมื่อก่อนตอนอยู่แถวบางลำพู ย่านการค้าเก่าแก่ของกรุงเทพฯ ชอบเข้าไปซื้อของในร้านสหกรณ์กรุงเทพฯ เพราะมีข้าวของให้เลือกซื้อมากมาย ทั้งของกิน ของใช้ สารพัดอย่าง
 
    แต่พอย้ายบ้านใหม่ นานๆ ครั้งจะมีโอกาสกลับไปบางลำพู และเยี่ยมเยียนร้านค้าสหกรณ์กรุงเทพฯอีก แต่ความรู้สึกในการซื้อของที่ร้านสหกรณ์ในวันนั้นต่างจากวันนี้มาก เพราะดูเก่าคร่ำคร่า ภายในร้านไม่อินเทรนด์สมกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป สินค้าที่ขายก็น้อยชิ้นลง
 
    หนำซ้ำละแวกนั้น ยังมีร้านสะดวกซื้อหลายร้าน ที่ดึงดูดผู้คนแถวนั้นให้เข้าไปเลือกซื้อสินค้าได้ทั้งวัน เพราะรูปลักษณ์ภายนอกดูโดดเด่น ทัยสมัย สะอาด การจัดวางสินค้าง่ายต่อการหยิบจับ มีสินค้าหลากหลาย ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ในทุกช่วงวัย ที่สำคัญ เปิดขายตลอด 24 ชั่วโมง
 
   ส่วนร้านค้าสหกรณ์บริเวณอื่นๆ นอกจากจะมีร้านสะดวกซื้อเป็นคู่แข่งแล้ว ยังมีห้างค้าปลีกสมัยใหม่  (โมเดิร์น เทรด) เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวอีก เพราะมีสินค้าขายนับหมื่นรายการ ราคาถูกกว่าท้องตลาดมาก มีโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมสารพัด มีร้านอาหารให้เข้าไปนั่งพักกินข้าว แก้เหนื่อยแก้หิว ส่วนเด็กๆ ก็มีโซนของเล่นให้อีก ทำให้ห้างค้าปลีกกลายเป็นสถานที่สุขสรรของครอบครัวยุคปัจจุบันไปแล้ว
 
   ไม่แปลกใจเลยว่า ทุกวันนี้ ทำไมผู้คนจึงชอบซื้อของจากร้านสะดวกซื้อ และห้างค้าปลีกกันนัก ส่งผลให้ร้านค้าเหล่านี้ ขยายสาขากันเร็วกว่าดอกเห็ดหน้าฝนเสียอีก!!
 
    ผลลัพธ์ที่น่ากลัวคือ การเติบโตของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ ทำลายความรุ่งเรืองของธุรกิจค้าขายแบบเก่าโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะร้านโชห่วย ที่ค้าขายตั้งแต่รุ่นอากง อาม่า ล้มตายไปมาก ไม่เว้นกระทั่งร้านค้าสหกรณ์ จนปัจจุบันเหลือเพียง 276 ร้านทั่วประเทศ จากอดีตกว่า 700 ร้าน
 
   นั่นจึงเป็นที่มาของการตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบสหกรณ์  ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อเดือนธ.ค.53 โดยให้กระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน เพื่อพัฒนาร้านสหกรณ์ให้พร้อมรับมือกับการแข่งขันที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และอนาคต
 
   การประชุมครั้งแรกเมื่อ 29 มี.ค. โดยมีนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน มีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น  มีรองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เป็นประธาน เพื่อแก้ปัญหาให้ร้านค้าสหกรณ์ ปรับปรุงรูปแบบ และระบบสมาชิกให้ทันสมัย ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนงบประมาณให้
 
   "ฟันนี่เอส” เห็นด้วยกับการช่วยเหลือร้านค้าสหกรณ์ ก่อนที่จะตายหมด เพราะร้านค้าสหกรณ์ ส่วนใหญ่เป็นการรวมตัวกันของคนในชุมชน โดยเฉพาะสหกรณ์การเกษตร และมีส่วนช่วยให้สมาชิกขายผลผลิตได้ หากสหกรณ์อยู่ได้ ชุมชนจะเข้มแข็ง ผู้คนในชุมชนก็จะเข้มแข็งตาม
 
  นอกจากนี้ ยังมีสหกรณ์ข้าราชการทุกสาขาอาชีพ สหกรณ์แท็กซี่ ที่ขายสินค้าให้สมาชิกแบบสินเชื่อ หรือมีเงินปันผลให้ หากสหกรณ์อยู่ไม่รอด สมาชิกก็ลำบาก จะซื้อของสินเชื่อกับร้านสะดวกซื้อ หรือห้างค้าปลีกก็ไม่ได้
 
  แต่ขออย่างเดียวคือ ให้ข้าราชการทำอย่างจริงจัง แม้รัฐบาลหมดอำนาจแล้ว ก็ขอให้ทำต่อ เพื่อให้ร้านค้าสหกรณ์เข้มแข็ง รับมือกับการแข่งขันได้ทุกรูปแบบ และเป็นที่พึ่งของสมาชิกตลอดไป
 
ฟันนี่เอส
31มีค54

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2554

PM’s Creative Award

                                                                                               
                               



            
         คุณผู้อ่านเคยรู้จัก ได้ยิน หรือพบเห็นสิ่งเหล่านี้หรือไม่  : ปราสาทสัจธรรม ของนายเล็ก วิริยะพันธุ์  รายการคุณพระช่วย ของบมจ. เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ ศิลปะการแสดงสยามนิรมิต ของบจก. รัชดานิรมิต และโคมไฟไม้ไผ่ตั้งพื้นงานเกลียวกลับไลน์ และโคมไฟโค้งกุหลาบ ของนายกรกต อารมณ์ดี

  สิ่งเหล่านี้คือผลงานสร้างสรรค์จากฝีมือคนไทย ที่ได้รับรางวัลผลงานสร้างสรรรค์ดีเด่น หรือ PM’s Creative Award จากมือนายกรัฐมนตรี โดย “ปราสาทสัจธรรม” ได้รับรางวัลชนะเลิศรางวัล นริศรา นุวัดติวงศ์ สาขางานสร้างสรรค์ตามลักษณะงาน ได้แก่ งานออกแบบแฟชั่น โฆษณา สถาปัตยกรรม ซอฟต์แวร์ 

  “รายการคุณพระช่วย”  ได้รับรางวัลชนะเลิศรางวัล คึกฤทธิ์  ปราโมช  สาขาสื่อ ได้แก่ การพิมพ์และสื่อสิ่งพิมพ์ การกระจายเสียง ภาพยนตร์ วีดิทัศน์และดนตรี “ศิลปะการแสดงสยามนิรมิต” ได้รับรางวัลชนะเลิศรางวัล เฟื้อ หริพิทักษ์ สาขาศิลปะ ได้แก่ ทัศนศิลป์ ศิลปะการแสดง
 



 
 และ “โคมไฟไม้ไผ่ตั้งพื้นงานเกลียวกลับไลน์ และโคมไฟโค้งกุหลาบ” ได้รับรางวัลชนะเลิศรางวัล อังคาร กัลยาณพงศ์ สาขาสืบทอดทางวัฒนธรรม  ได้แก่ งานหัตถกรรม  การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การแพทย์แผนไทย อาหารไทย  นอกจากผู้ชนะเลิศทั้ง 4 แล้ว ยังมีผู้ได้รับรางวัลดีเด่นของแต่ละสาขาอีกด้วย

  รางวัล PM’s Creative Award เป็นกิจกรรมหนึ่งของโครงการต้นแบบของพสกนิกรไทย “ในหลวง” กับการสร้างสรรค์”  ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 และโครงการเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ที่ดำเนินการโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์






 
   เป็นรางวัลเกียรติยศครั้งแรกของประเทศไทย ที่มอบให้แก่องค์กร ผู้ประกอบการ ที่ผลิตสินค้า หรือบริการดีเด่น ที่มีลักษณะพิเศษ โดดเด่น สามารถสร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ ให้กับสังคมไทย เป็นผลงานที่แสดงออกถึงความเป็นไทย ส่งเสริมภูมิปัญญาไทย มีการผสมผสานวัฒนธรรม ประเพณี  ภูมิปัญญา รวมทั้งสร้างมูลค่าในเชิงธุรกิจ

  “ฟันนี่เอส” เห็นด้วยกับโครงการนี้ เพราะเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติคนทำงานสร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นไทย ที่สังคมไทยยุคใหม่เกือบจะลืมเลือนขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม และภูมิปัญญา อันดีงามของไทยไปแล้ว เพราะคิดว่าเชย ล้าสมัย ไม่อินเทรนด์เหมือนกระแสฟีเวอร์จากต่างแดน
 




 
  นอกจากนี้ ยังสร้างขวัญ และกำลังใจ ให้กับคนทำงานสร้างสรรค์ มีไฟทำงานสร้างสรรค์ต่อไป และหากโครงการนี้ยังมีต่อเนื่องแม้เปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ก็จะช่วยจุดประกายให้เกิดนักสร้างสรรค์หน้าใหม่มากขึ้น

  ทำให้คนไทยเป็นนักคิด นักประดิษฐ์ สามารถขายผลงานทรัพย์สินทางปัญญาของตนไปทั่วโลก กอบโกยเงินทองเข้าประเทศจำนวนมาก เหมือนอย่างเกาหลีใต้ ที่ขายวัฒนธรรม เพลง ภาพยนตร์ อาหาร ฯลฯ จนทำให้คนทั่วโลกคลั่งไคล้ และทำรายได้เข้าประเทศมหาศาล







 
  การขายวัฒนธรรมไทย ทรัพย์สินทางปัญญาไทย หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไทย ไม่ใช่สิ่งเพ้อฝัน และไม่ใช่เรื่องยาก แม้จะยังไม่เห็นผลสำเร็จในทันที แต่หากทุกรัฐบาลสนับสนุนเต็มที่ สักวันหนึ่ง จะเกิดกระแส ”ไทยฟีเวอร์” ไปทั่วโลกได้แน่




                                                                                       ฟันนี่เอส

                                                                                    7 เม.ย.2554




ทุกข์อย่างหนึ่งของคนไทย

                                                                                                                                     
                                                     

            ในที่สุด มาตรการที่กระทรวงพาณิชย์ขอความร่วมมือผู้ผลิตสินค้าตรึงราคาขายสินค้ามาอย่างยาวนานตลอดปี 53 ต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปี 54 จะสิ้นสุดลงวันที่ 31 มี.ค.นี้ และกระทรวงพาณิชย์จะไม่ต่ออายุมาตรการออกไปอีกแล้ว

            สร้างความดีใจให้กับผู้ผลิตสินค้าเป็นอันมาก เพราะกระทรวงพาณิชย์จะยอมให้ผู้ผลิต ที่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นจริง ปรับขึ้นราคาขายได้อย่างสมเหตุสมผล  หลังจากแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นจนหลังแอ่น ที่สำคัญ จะทำให้กลไกตลาดสินค้าเหล่านั้นเดินอย่างตรงไปตรงมา ไม่ถูกบิดเบือนอีกแล้ว

   สอดคล้องกับ การให้สัมภาษณ์ของนายอีวายโล อิซวอร์สกี้ นักเศรษฐสาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก ที่ว่า การแก้ปัญหาราคาสินค้าแพงด้วยการตรึงราคา และอุดหนุนราคาพลังงาน ไม่ถูกต้อง เพราะกลไกตลาดบิดเบือน เกิดปัญหาขาดแคลน และมีการค้าขายในตลาดมืด...

   ...ดังนั้น รัฐบาลประเทศต่างๆ รวมถึงไทย ต้องยกเลิกการกระทำเหล่านี้ และอัดเงินสู่คนจนโดยตรง เพื่อให้มีเงินซื้อสินค้า และพลังงาน (สำหรับไทย ที่มีคอรัปชั่นเป็นวัฒนธรรมประจำชาติ ไม่ต้องพูดถึงการแจกเงินดีกว่า เพราะประชาชนคงได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย คงไปตกอยู่ในกระเป๋าใครต่อใครเสียเป็นส่วนใหญ่มากกว่า)

   แต่การเลิกตรึงราคาสินค้า ในแง่ผู้บริโภค โดยเฉพาะครัวเรือนที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง หาเช้าไม่พอกินถึงค่ำ คงร้องโอดครวญ เพราะค่าครองชีพปัจจุบันพุ่งแซงหน้ารายได้ไปมากแล้ว จากที่เคยลำบาก ก็คงลำบากเพิ่มขึ้นอีก

   แน่นอนว่า ตั้งแต่เดือนเม.ย.เป็นต้นไป สินค้าจำนวนมากจะพร้อมใจกันขึ้นราคา โดยสินค้าสำคัญ 4 รายการแรกที่จะขึ้นราคาก่อน ล้วนแต่จำเป็นต่อการครองชีพ และประกอบอาชีพทั้งสิ้น ไล่ตั้งแต่นมสด น้ำมันถั่วเหลือง ปุ๋ยเคมี และเหล็ก เพราะต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นมาก ต่อจากนั้นก็อาจเป็นแบตเตอรี่รถยนต์ สายไฟฟ้า ซอสถั่วเหลือง น้ำปลา และอื่นๆ อีกมากมาย

   แต่ “ฟันนี่เอส” ขอร้องว่า การอนุมัติให้ขึ้นราคาขายนั้น กระทรวงพาณิชย์ต้องให้ทยอยปรับขึ้น เพื่อไม่ให้ประชาชน “ช็อค” และเดือดร้อนมากเกินไป เหมือนกรณีน้ำมันปาล์มบรรจุขวด ที่ขึ้นพรวดเดียว 9 บาท

  นอกจากนี้ ก่อนอนุมัติ กรมการค้าภายใน ต้องพิจารณาต้นทุนที่ผู้ผลิตเสนอมาให้อย่างละเอียดรอบคอบ อะไรที่เป็นต้นทุนแฝง ต้นทุนเทียม ก็ให้เอาออกไป อย่าเอามาคิดรวมเป็นต้นทุนการผลิตด้วย เพราะจะทำให้ราคาที่ปรับขึ้นไปสูงเกินจริง และผู้บริโภค เสียประโยชน์ฝ่ายเดียว

  ไม่รู้ว่า ที่ผ่านมา ผู้บริโภคเสียค่าโง่ไปขนาดไหนแล้ว อยากให้ กรมการค้าภายใน รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมพ่อค้า เลิกเข้าข้างพ่อค้า และปกป้องผลประโยชน์ประชาชนบ้าง

   “ฟันนี่เอส” เห็นข่าวนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ จะรื้อโครงสร้างต้นทุนสินค้าใหม่ทั้งหมด หลังพบว่า ต้นทุนของภาคเอกชนมีต้นทุนเทียมแฝงอยู่เพียบ

   ก็ขอให้ทำได้จริงสมความตั้งใจ เพราะคนไทยจะได้เลิกโง่ เลิกถูกเอาเปรียบเสียที 

       
                                                                

                                   ฟันนี่เอส

                                                                      24 มี.ค.54

ป้องกันล่วงหน้าดีกว่า

                                                                                                               
                                                                                                                          

         เสียใจอย่างสุดซึ้งกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงที่สุดของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจนถึงขณะนี้ ความรุนแรงก็ยังไม่หยุด ยังมีอาฟเตอร์ช็อคตามมาเป็นระยะๆ นับได้เกินร้อยครั้ง มิหนำซ้ำเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ยังระเบิดอีกหลายเตา และปลดปล่อยสารกัมมันตรังสีเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ

 แม้หลายหน่วยงาน เช่น คณะกรรมการวิทยาศาสตร์แห่งสหประชาชาติว่าด้วยผลกระทบจากสารกัมมันตรังสี ยืนยันหนักแน่นว่า สารกัมมันตรังสีที่รั่วไหลออกมา ยังไม่เกินค่าที่กำหนด และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพประชาชน

 เพราะเป็นการรั่วไหลออกมาเพียงเล็กน้อยในขณะที่เตาปฏิกรณ์ปิดทำงาน ต่างจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ที่เชอร์โนบิล ของรัสเซียระเบิดขณะที่เตาปฏิกรณ์กำลังเดินเครื่องเต็มที่ จึงเกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีจำนวนมหาศาล คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก

         อย่างไรก็ตาม คนญี่ปุ่นเอง รวมถึงคนทั่วโลกกำลังหวั่นวิตกถึงอันตรายของสารกัมมันตรังสี ที่รั่วไหลออกมา เพราะเกรงว่า จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนญี่ปุ่น  และอาจปนเปื้อนในอาหารที่มาจากญี่ปุ่น ทำให้ผู้บริโภคในประเทศอื่น ที่นำเข้าสินค้าเหล่านี้ได้รับอันตรายไปด้วย

 ที่สำคัญ ยังมีโอกาสที่สารกัมมันตรังสี จะถูกลมพัดหอบข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิก ไปจนถึงสหรัฐฯ หรือแคนาดา รวมถึงมีโอกาสที่สารเหล่านี้จะตกลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้สัตว์น้ำต่างๆ ได้รับสารนี้ได้ เมื่อคนนำไปบริโภคก็จะได้รับอันตรายเช่นกัน

ที่จริง “ฟันนี่เอส” ไม่อยากฉายภาพจนทำให้ผู้คนหวาดวิตกกับเรื่องนี้จนเกินเหตุ แต่ก็เห็นว่า หากเราไม่ทำอะไรเลย แล้วบังเอิญมีสินค้าที่มาจากญี่ปุ่น โดยเฉพาะอาหารปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี มาวางบนชั้นขายสินค้า หรือมารออยู่ในร้านอาหารพร้อมให้เราสั่งมารับประทาน ก็อาจเป็นอันตรายได้ ถือว่าป้องกันไว้ก่อนเป็นดีที่สุด           

จึงอยากให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า และดูแลคุณภาพสินค้า เช่น กระทรวงสาธารณสุข ตื่นตัวกับเรื่องนี้ และออกประกาศเฝ้าระวังสินค้า โดยเฉพาะอาหาร ที่นำเข้าจากญี่ปุ่น หรืออาหารทะเลที่มาจากแปซิฟิก หรืออาจห้ามนำเข้าระยะหนึ่งจนกว่าจะมั่นใจว่าไม่มีการปนเปื้อน และไม่มีอัตราย

อย่าถือว่า การดำเนินการเช่นนี้จะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือกระทบการค้าเลย เอาความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้งดีกว่า เพราะหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ ออกประกาศห้ามนำเข้าแล้ว

            ส่วนกรมศุลกากร เห็นข่าวว่า  นายยุทธนา หยิมการุณ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรเข้มงวดกับสินค้าจากญี่ปุ่น หากตรวจพบสารกัมมันตรังสีจะสั่งอายัดสินค้าไว้ที่ท่าเรือทันที คาดว่า สินค้าจากญี่ปุ่นล็อตแรกหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว จะมาถึงท่าเรือแหลมฉบังสัปดาห์หน้า

            เห็นการเตรียมความพร้อมของกรมศุลกากรแล้วก็เบาใจ “ฟันนี่เอส” เคยรับรู้ถึงอันตรายของสารกัมมันตรังสีมาแล้ว จึงอยากให้รัฐบาลไทยทำงานเชิงรุกบ้าง  อย่าเอาวัฒนธรรมที่ให้เกิดเหตุร้ายก่อนแล้วมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามาใช้อีกเลย เพราะชีวิตคนเป็นของมีค่า ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ



ฟันนี่เอส

17 มี.ค.54

เลิกยกหางตัวเองซะที

                                                            
            เมื่อต้นสัปดาห์ คณะกรรมการนโยบายข้าว (กขช.) ได้ประกาศเพิ่มราคาประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว สำหรับข้าวเปลือกนาปรัง ที่จะเริ่มใช้สิทธิ์เดือนมี.ค.นี้เฉลี่ยตันละ 500-1,000 บาท
            โดยราคาประกันข้าวเปลือกเจ้า ความชื้น 15% เพิ่มเป็นตันละ 11,000 บาท จากเดิม 10,000 บาท ข้าวเปลือกปทุมธานี  1  ตันละ 11,500 บาท จาก 11,000 บาท ข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 10,500 บาท จาก 9,500 บาท รวมถึงให้เพิ่มปริมาณข้าวที่จะนำเข้าร่วมโครงการประกันรายได้เป็น 30 ตันต่อราย จากเดิม 25 ตัน
            คาดว่าจะใช้เงิน 30,417 ล้านบาท จากเดิมที่คาดเพียง 19,000 ล้านบาทเท่านั้น เหตุที่ต้องเพิ่มราคาประกัน เพราะต้นทุนการผลิตสูงขึ้นมาก ทั้งจากค่าแรง ค่าปุ๋ย ค่ายาปราบศัตรูพืช ค่าพันธุ์ข้าว โดยเฉพาะค่าเช่าที่นา ที่เพิ่มขึ้นถึง 60% จากไร่ละ 550 บาท เป็น 900 บาท
           
            นอกจากนี้ จากราคาข้าวเปลือกในประเทศที่ตกต่ำอย่างหนัก คณะรัฐมนตรี สัปดาห์ก่อน ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ เร่งทำโครงการแทรกแซงราคาข้าวเปลือก โดยให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) รับซื้อจากเกษตรกร ตั้งเป้า 2 ล้านตัน เริ่มวันที่ 16 มี.ค.นี้ คาดจะใช้เงิน  20,000 ล้านบาท
   เห็นอย่างนี้แล้ว “ฟันนี่เอส” ดีใจกับพี่น้องเกษตรกรด้วยใจจริง ที่จะขายข้าวได้ในราคาสูงขึ้น ที่สำคัญ ยังมีหลักประกันจากรัฐบาลว่า หากขายข้าวได้ในราคาต่ำ รัฐจะจ่ายเงินชดเชย และเข้าซื้อแทรกแซงราคาทันที
  
  แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ไม่ได้ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่สูงขึ้นอย่างยั่งยืน เป็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว และชั่วรัฐบาลเท่านั้น ที่สำคัญ “ฟันนี่เอส” มองว่า รัฐบาลทำไปเพื่อหาเสียง เอาใจคนรากหญ้า ที่เป็นฐานะเสียงใหญ่ของประเทศ เพราะใกล้จะเลือกตั้งใหญ่แล้ว
 
  หากรัฐบาลมีความจริงใจ ต้องการให้เกษตรกรอยู่ดีกินดีอย่างยั่งยืน มีรายได้ที่มั่นคงตลอดไป รัฐบาลควรพูดถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และการลดต้นทุนการผลิต จะดีกว่า เพราะสิ่งเหล่านี้เมื่อทำสำเร็จแล้ว จะอยู่คู่กับเกษตรกรไปตลอด
 
 นอกจากนี้ รัฐบาลควรทุ่มงบวิจัยและพัฒนาให้กับการเกษตร หากต้องการให้ไทยเป็นครัวของโลก แต่ทุกวันนี้ แม้ไทยจะส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก มีรายได้จากการส่งออกข้าวปีละหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าเวียดนามมาก โดยข้าวไทย 1 ไร่ให้ผลผลิตประมาณ 400 กิโลกรัม แต่เวียดนามมากถึงกว่า 600 กิโลกรัม
          
         นี่ยังไม่ได้พูดถึงประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่น กัมพูชา ลาว พม่า ที่หันมาผลิตสินค้าเกษตรมากขึ้น หลังประสบวิกฤติอาหารเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเดาได้เลยว่า ในอนาคตจะกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของไทยอย่างแน่นอน
     
         “ฟันนี่เอส” อยากให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรของไทย ร่วมแรงร่วมใจพัฒนาการเกษตรของไทยให้ดีขึ้นกว่านี้ อย่าหวังกินบุญเก่า และหลงยกหางตัวเองว่าเป็นครัวของโลกอยู่เลย เพราะคนหยิ่งผยองมักมองไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง และขาดการปรับปรุงและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
                                                           
                              ฟันนี่เอส

                                                            10 มี.ค.54

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

ราคาข้าวตกมาแล้ว



             ปัญหาน้ำมันปาล์มยังแก้ไม่ตก ตอนนี้ ปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำก็มาซ้ำเติมรัฐบาล ท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีอีกแล้ว!!

             ล่าสุด ณ วันที่ 21 ก.พ.54 ราคาขายส่งจากการสำรวจของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิฤดูการผลิต 53/54 ตันละ 12,650-14,000 บาท ลดลงจากต้นฤดูกาลในเดือนพ.ย.53 ที่ตันละ 13,400-15,500 บาท

    ข้าวเปลือกเจ้านาปี 53/54 ตันละ 8,400-8,500 บาท ลดลงจาก 8,800-9,300 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานีปี 53/54 ตันละ 10,400-12,000 บาท ลดลงจาก 12,000-14,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาวปี 53/54 ตันละ 13,500-16,000 บาท ลดลงจาก 14,000-16,350 บาท

    สาเหตุหลักมาจากข้าวในสต๊อกรัฐบาล ที่ระบายให้กับผู้ส่งออกตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาเกือบ 5 ล้านตัน จนถึงขณะนี้มีการส่งออกจริงราว 500,000 ตันเท่านั้น!!

    ทั้งที่ในการเปิดขายข้าวให้ผู้ส่งออก กระทรวงพาณิชย์อ้างนักหนาว่า จะขายให้เฉพาะผู้ส่งออกที่มีคำสั่งซื้อ (ออร์เดอร์) จากต่างประเทศแล้วเท่านั้น โดยให้นำออร์เดอร์มายืนยัน  (แต่ในวงการข้าวรู้ดีว่า ทำปลอมใบคำสั่งซื้อได้ไม่ยาก และไม่มีใครมาตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือไม่)  

    ซึ่งหากผู้ส่งออกเหล่านั้นมีออร์เดอร์จริง ป่านนี้ ข้าวเกือบ 5 ล้านตัน คงทยอยออกนอกประเทศไปเยอะแล้ว แต่จากการสอบถามผู้ส่งออกหลายราย ยืนยันตรงกันว่า การระบายสต๊อกข้าวรัฐครั้งนี้ เหมือนเป็นการเปลี่ยนเจ้าของผู้ครอบครองข้าว จากรัฐบาลมาเป็นผู้ส่งออกเท่านั้น และไม่ได้ส่งออกมากอย่างที่รัฐเทขาย

    ตอนนี้ จึงยังเหลือวนเวียนขายในประเทศอีกกว่า 4 ล้านตัน เช่น ขายให้กับผู้ผลิตข้าวสารบรรจุถุง ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่จำเป็นต้องไปแย่งกันซื้อข้าวในตลาด เช่นเดียวกับผู้ส่งออกบางราย ที่ต้องการส่งออกจริง ก็ไม่ต้องมาแย่งซื้อข้าวในตลาด ไปขอซื้อจากผู้ส่งออกที่มีข้าวรัฐในครอบครองก็ได้ ดังนั้น เมื่อไม่มีการแย่งซื้อ ราคาในตลาดก็ไม่ขยับ

   เชื่อว่า กว่าจะผลักดันข้าวล็อตนี้ให้ออกนอกประเทศได้หมด คงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน จึงเป็นไปได้ว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ราคาข้าวในประเทศคงจะลุ่มๆ ดอนๆ ต่อเนื่อง ไม่มีแนวโน้มสูงโด่งอย่างที่ควรจะเป็น

   แล้วยิ่ง สัปดาห์ก่อน เวียดนาม ลดค่าเงินด่องลงอีก จึงยิ่งทำให้ราคาข้าวของ 2 ประเทศห่างกันมากถึงตันละ 60-80 เหรียญสหรัฐ และเป็นแรงดึงดูดให้ผู้ซื้อไปซื้อข้าวจากเวียดนามแทน ประกอบกับ หากปีนี้ อินเดีย ผู้ส่งออกข้าวนึ่งรายใหญ่ คู่แข่งสำคัญของไทยอีกราย กลับมาส่งออกข้าวนึ่ง หลังจากหยุดส่งออกไปนาน ก็จะยิ่งซ้ำเติมราคาข้าวไทยไม่ให้เพิ่มขึ้นได้อีก เพราะราคาข้าวนึ่งอินเดีย ต่ำกว่าเกือบตันละ 100 เหรียญฯ

  แค่นี้ก็คงจะพอมองเห็นแล้วว่า ปีนี้โอกาสที่ราคาข้าวไทยจะสูงขึ้น คงจะยากเต็มที เว้นแต่ว่า มีออร์เดอร์ล็อตใหญ่เข้ามาชน

 เมื่อเห็นภาพอย่างนี้แล้ว รัฐบาลก็น่าจะมีแผนรองรับราคาข้าวร่วงได้แล้ว อย่าปล่อยให้ชาวนาต้องลุกขึ้นมาเดินขบวนประท้วงก่อน แล้วค่อยมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันเลย


 
                                                         ฟันนี่เอส


                                                            24 ก.พ.54

อย่าดีแต่พูด




                                                                                                                           
                                                                 
            ท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีสุดหล่อ ขวัญใจแม่ยกทั่วประเทศ ทราบไหมว่า วันนี้ราคาไข่ไก่ และเนื้อหมู อาหารโปรตีนพื้นฐานที่ทุกครัวเรือนต้องมีไว้ประจำบ้าน ปรับขึ้นไปกี่บาทแล้ว

   เฉลยก็ได้ว่า ราคาไข่ไก่เบอร์ 3 (ขนาดเล็ก) ตามตลาดสดเขาขายกันที่ฟองละ 3.10 บาทแล้ว จากเดือนม.ค.ที่ฟองละ 2.90 บาทเท่านั้น ส่วนเนื้อหมูก็พุ่งไปถึงก.ก.ละ  115-120 บาท บางตลาดทะลุ 130 บาทเข้าไปแล้ว

   สาเหตุเพราะวัตถุดิบอาหารสัตว์หลักๆ ทั้งข้าวโพด ถั่วเหลือง รำข้าว ปลายข้าว ปรับขึ้นราคากันหมดประมาณ 5% และยังมีแนวโน้มราคาในตลาดโลกจะสูงขึ้นไปอีก จากปัญหาโลกร้อน ทำให้ผลผลิตลดลง แต่ความต้องการใช้สูงขึ้น ประกอบกับ เกิดโรคระบาดทั้งในไก่ไข่ และหมู ทำให้ผลผลิตลดลงมาก

  จึงทำให้ราคาทั้งไข่ไก่ และเนื้อหมูปรับสูงขึ้นมาก และยังจะมีแนวโน้มสูงขึ้นอีกเรื่อยๆ แม้รัฐพยายามเดินหน้าไอเดียสุดบรรเจิด “ขายไข่ไก่ชั่งกิโล” ลดภาระค่าครองชีพ โดยอ้างว่า การชั่งกิโล จะทำให้ราคาไข่ไก่ลดลงได้ จากการไม่ต้องเสียค่าคัดแยกไข่ตามขนาด หรือเบอร์เหมือนปัจจุบัน

  แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ราคาไข่ไก่ลดลงได้อย่างปากพูด !!

  สวนทางกับ โครงการประชาวิวัฒน์ ที่รัฐบาลให้คำมั่นสัญญาว่า จะดูแลราคาสินค้าเนื้อหมู ไข่ไก่ ทั้งระบบ รวมถึงลดต้นทุนด้านการเกษตรให้เกษตรกร

  ชี้ให้เห็นว่า โครงการประชาวิวัฒน์ เฉพาะในเรื่องการลดต้นทุนเกษตรกร ไม่ประสบผลสำเร็จตามประสงค์ เพราะรัฐยังจะไม่มีมาตรการใดๆ ในการช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกรเลยแม้แต่มาตรการเดียว

  เพราะถ้าทำไปแล้ว และทำได้จริง ราคาสินค้าเกษตรหลายรายการคงจะปรับลดลงบ้างแล้ว

 วันนี้ ยังเห็นเกษตรกรไทย แบกรับภาระต้นทุนการผลิต ที่สูงโด่งเกินหน้าเกษตรกรประเทศอื่นๆ ทั้งต้นทุนด้านปัจจัยการเกษตร เช่น ปุ๋ยเคมี ยาจำกัดศัตรูพืช วัตถุดิบอาหารสัตว์ และต้นทุนการบริหารจัดการอื่นๆ เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา

 ส่วนการเข้าถึงพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์สัตว์ ที่รัฐบาลลั่นวาจาไว้ว่า จะทำให้เข้าถึงง่ายขึ้นนั้น วันนี้ก็ยังเห็นเกษตรกรไม่มีโอกาสเลือกซื้อได้เองอย่างอิสระ เพราะถูกบังคับให้ซื้อจากบริษัทใหญ่ๆ อยู่ดี

 ยอมรับว่า เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่แก้ปัญหาได้ยากยิ่ง เพราะเกี่ยวพันกับผลประโยชน์มหาศาลของผู้ประกอบการจำนวนมาก และไม่แน่ใจว่า รัฐบาลจะแข็งพอที่จะต่อกรกับบุคคลเหล่านี้ได้หรือไม่

 แต่ “ฟันนี่เอส” อยากเห็นพันธะสัญญา ที่รัฐบาลให้ไว้กับประชาชน เกิดขึ้นอย่างจริงจัง และประสบผลสำเร็จอย่างแท้จริง ไม่ได้เป็นคำพูดเพ้อเจ้อ และไม่ได้เป็นการขายฝันเพื่อหวังเสียงสนับสนุนจากประชาชน ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

 เพื่อทำให้งบประมาณแผ่นดินที่หมดไปกับโครงการนี้ ไม่สูญเปล่า

 และสำคัญที่สุด เพื่อให้เกษตรกรไทย ที่แร้นแค้นแสนเข็ญที่สุด มีโอกาสอยู่ดีกินดีเหมือนประชากรกลุ่มอื่นในสังคมไทย ไม่ใช่ยังเป็นกลุ่มคนจนดักดาน ชั่วลูกชั่วหลาน

                                                        
                                            ฟันนี่เอส


                                                                                17 ก.พ.54

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

อย่าทำงานเอาหน้า

                                                                                                                              

                                                                                                                            
                                           
             เมื่อสักเดือนก่อน เห็นนายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ เป็นปลื้มกับผลงานชิ้นโบว์แดงอีกชิ้นหนึ่ง ที่ไม่ว่าจะออกสื่อไหนเป็นต้องพูดถึงอยู่ร่ำไป

     นั่นคือ การดึงกลุ่มทุนจากจีนในชื่อ หยูนหนาน อาซือม่า กรุ๊ป มาลงทุนก่อสร้าง โครงการอภิมหามหึมาโปรเจกต์ ร่วมกับสมาคมส่งเสริมเศรษฐกิจและความร่วมมือการค้าอาเซียน-จีน ภายใต้ชื่อ ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติไทย-จีน ที่ถนนบางนา-ตราด กม.10 มูลค่าลงทุน 45,000 ล้านบาท
  
    โดยจะเนรมิตรให้เป็นเหมือนศูนย์ค้าส่งสินค้าที่อี้อู ของจีน ซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก สินค้าที่ขายในศูนย์ฯจะมาจากจีนเป็นหลัก มีทั้งสินค้าอุปโภค และบริโภค มีสินค้าของไทย และอาเซียนคละบ้างนิดหน่อย   

    ซึ่ง รมช.อลงกรณ์ ย้ำว่า หากศูนย์แห่งนี้เปิดดำเนินงานได้ราวเดือนต.ค.55 จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าส่งใหญ่สุดในอาเซียน เพราะจะมีผู้ซื้อจากทั่วโลกมาซื้อสินค้าที่นี่ ไม่เพียงแต่สินค้าจีนจะขายได้ แต่สินค้าไทย ยังมีโอกาสขายได้ง่ายขึ้น และมากขึ้นด้วย

      แต่คงลืมไปว่า เอสเอ็มอีไทย รวมถึงร้านค้าส่ง-ค้าปลีกในย่านสำเพ็ง โบ๊เบ๊ ใบหยก ประตูน้ำ แพลตินั่ม ฯลฯ ก็ผลิตและขายสินค้าไม่ต่างจากจีน เช่น ดินสอ ปากกา ยางลบ เสื้อผ้า ของใช้ในบ้าน ยันเครื่องใช้ไฟฟ้า และทุกวันนี้ ต่างได้รับผลกระทบจากสินค้าจีน ราคาถูก ที่ไหลทะลักเข้ามามากพออยู่แล้ว
  
  ถ้าศูนย์ฯเปิดขายสินค้าได้เมื่อไร คนกลุ่มนี้ คงตายเกลี้ยง เพราะผลิตสินค้าแล้วขายไม่ได้ ดีไม่ดีคงหันไปรับสินค้าจากจีนมาขายแทน เพื่อไม่ให้ตัวเองเจ๊ง

  นี่ยังไม่รวม กรณีที่กลุ่มทุนจากจีน เป็นที่น่าเชื่อถือได้เพียงใด และจะมาจับเสือมือเปล่าหรือไม่ เพราะมีทุนจดทะเบียนในจีนเพียง  10 ล้านหยวน หรือประมาณ 50 ล้านบาทเท่านั้น แต่จะลงทุนก่อสร้างมูลค่าสูงถึง 45,000 ล้านบาท

  นอกจากนี้ โครงการนี้ยังส่อผิดกฎหมายไทยอีกหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.สมาคมการค้า พ.ศ.2509 ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลำดับที่ 27

 ศูนย์แห่งนี้ ไม่น่าจะทำให้คนไทยร่ำรวย แต่กลับทำให้คนต่างชาติร่ำรวย และทำลายคนไทยด้วยกันเอง  จึงไม่แปลกใจเลยที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) หอการค้าไทย และเอสเอ็มอี ต่างคัดค้านการก่อสร้าง

 สุดท้าย ท่านอลงกรณ์ ต้องแก้เกมด้วยการผุดไอเดียสุดหรู สั่งให้ศึกษาความเป็นไปได้ ที่จะจัดตั้งศูนย์แสดงสินค้าและกระจายสินค้าของเอสเอ็มอีไทย ในสนามบินดอนเมือง ทั้งที่ยังไม่ได้หารือกับเจ้าของพื้นที่

 ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาได้ตรงจุดหรือไม่ (สมมติว่าจัดตั้งได้สำเร็จ)

 “ฟันนี่เอส” เห็นว่า รัฐควรมีแผนพัฒนาศักยภาพการแข่งขันผู้ประกอบการไทยด้วย เช่น การเข้าถึงแหล่งทุนง่ายขึ้น การลดต้นทุนการผลิต การสนับสนุนเข้าร่วมงานแสดงสินค้าต่างๆ และลดอุปสรรคทางการค้า

 หากรัฐจริงจังให้ความช่วยเหลือ และไม่ทำอะไรหวังเอาหน้ามากเกินไป เอสเอ็มอีไทยคงแข่งขันได้สบายๆ


                                                            ฟันนี่เอส


                                                                                         10ก.พ.54