วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เขาชื่อ“ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ”


 

           
 
 
 
 
 
 

จนถึงวันนี้ เชื่อแน่ว่า รัฐมนตรีหลายคนที่ถูกสับเปลี่ยนโยกย้าย หรือถูกปลดออกจากตำแหน่ง คงเก็บข้าวของออกจากห้องทำงานเดิมกันหมด และเตรียมไปจัดห้องหับ ข้าวของในที่ทำงานใหม่กันแล้ว

 

กระทรวงพาณิชย์ เป็นอีกหนึ่งกระทรวงที่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ โดยปรับลดเหลือเพียง 1 ตำแหน่ง จากเดิมที่มี 2 ตำแหน่ง

 

โดยรมช.พาณิชย์ที่หลุดออกจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดนี้คือ นายภูมิ สาระผล ซึ่งรู้ตัวเองดี และมักจะประกาศต่อหน้าสื่อมวลชนประจำกระทรวงพาณิชย์อยู่เสมอๆ ว่าคงจะไม่รอดจากการปรับครม.ครั้งนี้แน่นอน

 

ส่วนนายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่ยังมีบารมีของพ่อคุ้มครองอยู่ ทำให้ไม่ถูกปรับออกจากครม. เพียงแค่โยกย้ายไปนั่งเป็นรมช.เกษตรและสหกรณ์

 

สลับที่นั่งกับ “นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ” หนึ่งในแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง หรือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

 

การมานั่งเป็นรมช.พาณิชย์ของนายณัฐวุฒิครานี้ เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนในกระทรวงพาณิชย์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีทั้งเสียงด่าและเสียงชื่นชม อย่างเสียงด่าที่ได้ยินมาอย่างหนาหู เช่น ยกมือไหว้ไม่ลง ก่อนออกจากบ้านคงต้องยกมือไหว้สัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งในบ้านก่อน พอมาเจอรมช.ใหม่แล้วถึงจะยกมือไหว้ได้ จะทำงานได้หรือเปล่า

 

หรือสงสัยคงจะมาช่วยโกงกินบ้านเมือง คงจะยกพวกแดงเถื่อนมาเดินกร่างเต็มกระทรวงฯ และถลุงงบประชาสัมพันธ์ของแต่ละหน่วยงานเป็นว่าเล่น อยู่กระทรวงเกษตรฯทำให้ยางราคาตก มากระทรวงพาณิชย์ คงทำให้สินค้าอื่นๆ ราคาตกอีกแน่ ถ้าเข้ามาทำงานที่กระทรวงพาณิชย์ จะแต่งดำไว้ทุกข์รอต้อนรับ และอื่นๆ อีกมากมายเกินบรรยาย

 

ส่วนฝั่งตรงข้าม จะส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เช่น ท่าทางน่าจะเป็นคนเอาจริงเอาจังในการทำงาน และน่าจะทำงานได้ดี น่าจะสู้รบปรบมือกับพวกภาคเอกชนที่เขี้ยวลากดินได้ไม่ยาก น่าจะช่วยรมว.พาณิชย์สู้ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ท่าทางไม่น่าจะเป็นคนกร่าง หรือไม่มีสมองอย่างที่เป็นข่าว น่าจะช่วยขับเคลื่อนงานของกระทรวงพาณิชย์ให้เดินหน้าได้ เป็นต้น

 

สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้สึกของคนในกระทรวงพาณิชย์ที่มีต่อรมช.คนใหม่ ซึ่งไม่ใช่เป็นเสียงของคนทั้งหมด แต่เป็นเพียงเสียงของคนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ที่ใช้อารมณ์ ความรู้สึกชอบ/ไม่ชอบทางการเมืองเข้ามาตัดสินตัวตนของคนคนหนึ่ง

 

ทั้งที่ยังไม่รู้ว่า ตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไร จะเลวร้ายอย่างที่ปรากฏตามข่าว ที่ต้องสวมบทบาท หรือเล่นไปตามบทของแกนนำคนเสื้อแดง ที่ลุกขึ้นต่อสู้กับกลุ่มคนฝ่ายตรงข้ามหรือไม่

 

แต่ในฐานะที่ “ฟันนี่เอส” เป็นสื่อมวลชน ก็คงจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกับสื่อมวลชนทุกคนในกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงข้าราชการในกระทรวง และประชาชนทั่วประเทศ ที่จะรอพิสูจน์ตัวตนที่แท้จริง และศักยภาพในการทำงานของ “นายณัฐวุฒิ” ว่าจะสมราคา และสมศักดิ์ศรีของบุคคลที่ได้รับคัดเลือกให้เข้ามานั่งเป็นส่วนหนึ่งของครม.ในการบริหารประเทศ

 

และที่สำคัญ จะสมเกียรติของคนที่ได้ปฏิญาณตนว่าจะรับใช้บ้านเมืองหรือไม่หรือไม่?

 

 

ฟันนี่เอส

 

1 พ.ย.55

ติดอันดับทำธุรกิจง่าย


 

 

 

 
 
 

 

           วันก่อน ธนาคารโลก ได้เผยแพร่รายงานการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจปี 2556 :  กฎข้อบังคับที่ดีกว่าสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Doing Business 2013: Smarter Regulations for Small and Medium-Size Enterprises)  ที่ได้ร่วมจัดทำกับบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ ระหว่างเดือนมิ.ย.54-มิ.ย.55

















            ปรากฏว่า ประเทศไทยติด 1 ใน 20 ประเทศที่ทำธุรกิจง่าย จากการจัดอันดับทั้งหมด 185 ประเทศทั่วโลก โดยอยู่ในอันดับที่ 18 ลดลงจากปีก่อน ที่อยู่ในอันดับที่ 17

            แต่ยังถือว่า ดีกว่าอีกหลายประเทศ อย่างญี่ปุ่น ที่รั้งอันดับที่ 24, สวิตเซอร์แลนด์ อันดับที่ 28, จีน อันดับที่ 91, เวียดนาม อันดับที่ 99, อินโดนีเซีย อันดับที่ 128, อินเดีย อันดับที่ 132, กัมพูชา อันดับที่ 133, ฟิลิปปินส์ อันดับที่ 138, ลาว อันดับที่ 163, ติมอร์ เลสเต้ อันดับที่ 169 เป็นต้น

            ส่วน 20 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 สิงคโปร์ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 อันดับ 2 คือ ฮ่องกง ตามด้วยนิวซีแลนด์ สหรัฐฯ เดนมาร์ก นอร์เวย์ สหราชอาณาจักร สาธารณรัฐเกาหลี จอร์เจีย ออสเตรเลีย ฟินแลนด์ มาเลเซีย สวีเดน ไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ ไต้หวัน แคนาดา ไทย มอริเชียส และเยอรมนี











นางแอนเน็ต ดิ๊กซัน ผู้อำนวยการธนาคารโลกสำนักงานประเทศไทย ระบุว่า สาเหตุหลักมาจากการที่รัฐบาลไทยลดการเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลลง ส่งผลให้ต้นทุนด้านภาษีของผู้ประกอบการลดลง

            ประกอบกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้ปรับปรุงเงื่อนไข และขั้นตอนการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลใหม่ให้สามารถจดทะเบียนได้ในเวลารวดเร็ว ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เยิ่นเย้อล่าช้าเหมือนก่อน
 
 
 
 
 

            ขณะเดียวกัน ยังอำนวยความสะดวกในการจดทะเบียนนิติบุคคลที่เดียว (จดที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าในจังหวัดต่างๆ) แต่ได้รับเลขทะเบียนสำคัญถึง 3 อย่างคือ เลขทะเบียนนิติบุคคล เลขทะเบียนนายจ้าง และเลขทะเบียนผู้เสียภาษี หรือเป็นการจดทะเบียนแบบ ทรี อิน วัน

            จากเดิมที่คนที่อยากมีบริษัทเป็นของตัวเองต้องเริ่มต้นที่จดทะเบียนนิติบุคคล ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จากนั้นต้องไปจดทะเบียนนายจ้าง ที่กระทรวงแรงงาน และจดทะเบียนผู้เสียภาษี ที่กรมสรรพากรอีก

            จึงทำให้การมีบริษัท หรือธุรกิจเป็นของตัวเองในประเทศไทยง่ายดายมากขึ้น และคล่องตัวมากขึ้น

            แต่เมื่อแยกผลสำรวจออกเป็นแต่ละหัวข้อ กลับพบว่า ในแต่ละหัวข้อประเทศไทยมีอันดับไม่ดีนัก เช่น ในหัวข้อการก่อตั้งบริษัทและการเริ่มกิจการ แม้จะมีการปรับปรุงขั้นตอนให้สะดวก คล่องตัว และรวดเร็วมากขึ้นแล้ว แต่ไทยก็ยังอยู่ในอันดับที่ 85 ของโลก ส่วนหัวข้อการชำระภาษี ก็อยู่ในอับดับที่ 96 หัวข้อการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อ อยู่ในอันดับที่ 70 

ขณะที่หัวข้อการค้าข้ามพรมแดน อยู่ในอันดับที่ 20 หัวข้อการคุ้มครองนักลงทุน อยู่ในอันดับที่ 13 หัวข้อการบังคับใช้กฎระเบียบต่างๆ อยู่ในอันดับที่ 23 หัวข้อการเข้าถึงระบบไฟฟ้า อยู่ในอันดับที่ 10 เป็นต้น

            เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อต่างๆ  ควรจะเร่งรัดปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ในง่ายขึ้น สะดวกขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจในประเทศไทย

ซึ่งจะมีส่วนช่วยดึงดูดการลงทุนในประเทศ และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจเกินบรรยาย

 

 ฟันนี่เอส
 
 
25 ต.ค. 55

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อย่าเห็นคนไทยเป็น”ควาย”


 








 

ข่าวปัญหา ข้าวของรัฐบาล นับวันจะยิ่งบานปลายใหญ่โตมากขึ้น โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร และเมื่อไร

 

เริ่มต้นจากกลุ่มคนที่เสียประโยชน์เพียงกลุ่มเดียวคือ ผู้ส่งออกบางราย ที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการรับจำนำข้าว และพยายามให้ข่าวด้านลบของโครงการรับจำนำ เช่น ทำให้ราคาข้าวไทยสูงขึ้น และแข่งขันไม่ได้ในตลาดโลก ทำให้ปริมาณส่งออกข้าวไทยลดลง และเสียแชมป์ผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก

 
 
 
 
 
 
















จากนั้นก็เริ่มมีแนวร่วมที่ไม่เห็นด้วยตามมาเป็นหางว่าว เช่น พรรคการเมืองฝ่ายค้าน ที่ปฏิเสธโครงการรับจำนำข้าวโดยสิ้นเชิง และหันเดินหน้าโครงการประกันรายได้เกษตรกรอย่างเต็มตัวเมื่อครั้งเป็นรัฐบาล แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

 

ตามด้วยนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่ดาหน้าออกมาโจมตีแบบไม่ลดราวาศอก ถึงขั้นล่ารายชื่อประชาชนฟ้องร้องรัฐบาลต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ล้ม หรือปรับปรุงเงื่อนไข และหลักเกณฑ์การรับจำนำใหม่ รวมถึงลดราคารับจำนำลงด้วย

 

หรือกระทั่งข่าวที่ออกจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่บอกว่า กำลังจะถังแตก และไม่มีเงินมากพอที่จะนำมาดำเนินการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด

 
 
 
 
 

และล่าสุด มีความพยายามที่จะขุดคุ้ย และจับโกหกในเรื่องการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่รมว.พาณิชย์ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อ้างว่า ได้ขายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลให้กับรัฐบาลประเทศอื่นๆ ไปแล้วมากถึงกว่า 7 ล้านตัน คาดจะมีเงินส่งคืนให้ ธ.ก.ส. ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีนี้ถึงไตรมาสสุดท้ายปีหน้ามากถึง 260,000 ล้านบาท

 

ข่าวดังกล่าวเล่นเอาผู้คนในวงการค้าข้าว “อึ้ง” ไปตามๆ กัน เพราะไม่รู้ว่าประเทศที่ซื้อข้าวไทยเป็นใครบ้าง มีตัวตนจริงหรือไม่ และที่สำคัญมีออร์เดอร์จีทูจีจริงหรือไม่

 

จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงการข้าวว่า หรือเกิดปรากฎการณ์ “ไวท์ไลน์” (โกหกสีขาว) เพื่อกลบข่าวธ.ก.ส.ถังแตก ไม่มีเงินจำนำข้าวกันแน่!!

 
 
 
 
 
 
 

เพราะไม่เคยมีคำชี้แจงที่กระจ่างชัดจากกระทรวงพาณิชย์เลยว่า ผู้ซื้อข้าวจีทูจีมีใครบ้าง ได้แต่ตอบแบบปัดๆ ว่ามีหลายประเทศ เช่น บางประเทศในเอเชีย อย่างจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บางประเทศในแอฟริกา เป็นต้น และก็ไม่เคยระบุให้ชัดเจนอีกเช่นกันว่า แต่ละประเทศมีออร์เดอร์เท่าไร

 

นอกจากนี้ วงการค้าข้าวยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวของการเตรียมการส่งออกข้าวจีทูจีเลย เช่น ไม่มีการเตรียมกระสอบแพ็กข้าว ไม่เห็นเรือที่จะมารับข้าวไปให้ผู้ซื้อ เหนือสิ่งอื่นใด สถิติการส่งออกข้าวไทยตั้งแต่เดือนม.ค.ถึงล่าสุดเดือนส.ค.55 ที่ได้ประมาณ 4.4 ล้านตันนั้น ไม่ปรากฏมีข้าวจีทูจีแม้แต่เมล็ดเดียว

 

ข้อสงสัยเหล่านี้ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานาถึงขั้นว่า รัฐไม่มีออร์เดอร์จีทูจีมากถึง 7 ล้านตันจริงบ้าง นักการเมืองกำลังร่วมมือกันเล่นแร่แปรธาตุ โกงกินชาติบ้านเมืองบ้าง เพราะขุมทรัพย์ของกระทรวงพาณิชย์คือสต๊อกข้าวรัฐบาล ที่รัฐบาลชุดนี้มีจำนวนมาก คิดเป็นมูลค่ามหาศาล

 

มาถึงตรงนี้ ยังไม่รู้ว่า “มหากาพย์” เรื่องนี้จะจบอย่างไร จะแฮปปี้ เอ็นดิ้งหรือไม่ แต่อย่างหนึ่งที่คนไทยต้องการคือ ความโปร่งใส และความจริงใจในการทำงานของรัฐบาล อย่ามองคนไทยเป็น “ควาย” ที่จะนึกโกหกอะไรก็ได้ร่ำไป

 

 

 

 

ฟันนี่เอส

 

 

                                                    11 ต.ค.55

จำนำข้าวไม่ขัดรัฐธรรมนูญ


 










 

แถลงข่าวครั้งแรกของการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ผู้หญิงคนแรก ของ นางวัชรี วิมุกตายนเมื่อวันก่อน ทำเอานักข่าวอึ้ง!ไปตามๆ กัน

 

เพราะท่านปลัดฯมีนัดหมายจะแถลงข่าวตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ย.55 แต่พอเริ่มจับไมค์ปุ๊บ ก็เปิดฉากตอกกลับนักวิชา นิด้าเรื่องโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปั๊บ

 

โดยโต้กลับว่า โครงการนี้ ไม่ได้ขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 84 (1) ที่กำหนดว่า รัฐต้องดำเนินนโยบายให้เกิดการค้าเสรี อย่างเป็นธรรม โดยอาศัยกลไกตลาด และรัฐต้องไม่ดำเนินธุรกิจที่แข่งขันกับเอกชน ตามที่นักวิชาการกล่าวอ้าง แต่โครงการนี้กลับสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 84 (8) ที่ระบุว่า รัฐต้องคุ้มครองผลประโยชน์ของเกษตร




 
 
 
 
 
 
 
 
 

เพราะการรับจำนำข้าว ช่วยให้เกษตรกรได้รับความเป็นธรรม  ไม่ถูกกดราคารับซื้อ นอกจากหักเงินไปตามความชื้นที่สูงเกิน 25% และสิ่งเจือปน ส่งผลให้ขายข้าวในราคาสูงขึ้น มีเงินเหลื่อใช้จ่าย และใช้หนี้ได้ รวมทั้งอาจปลดหนี้ได้ในที่สุด จากที่ผ่านมา เกษตรกรมักถูกพ่อค้าคนกลาง โรงสี หรือผู้ส่งออกบางรายกดราคารับซื้อเป็นว่าเล่น ทำให้ขายได้จริงไม่กี่บาท

 

ส่วนเรื่องที่นิด้าอ้างว่า รัฐทำธุรกิจแข่งกับเอกชนนั้น ท่านปลัดฯชี้แจงว่า ไม่ใช่ และทำไม่ได้แน่นอน แต่การรับจำนำข้าวทุกเมล็ด ไม่ได้หมายความว่า เกษตรกรจะต้องเอาข้าวทุกเมล็ดมาเข้าโครงการจริงๆ หากเอกชน “กล้า” ซื้อในราคาดีกว่า หรือเท่ากับราคารับจำนำ เกษตรกรย่อมขายให้อยู่แล้ว

เพราะจะได้รับเงินทันที แต่ส่วนมาก เอกชนไม่ “กล้า” ซื้อแข่งกับรัฐ ถ้าซื้อไม่ได้ก็จะรอช้อนซื้อข้าวจากสต๊อกรัฐแทน

 

นอกจากนี้ ท่านปลัดฯยังยืนยันอีกว่า การรับจำนำข้าวเปลือกปี 54/55 และนาปรังปี 55 ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นเกือบ 200,000 ล้านบาท และทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 2% ดังนั้น รัฐบาลจะไม่ล้มโครงการนี้แน่นอน

 

”ฟันนี่เอส” สรุปกันให้เห็นชัดๆ อีกครั้งว่า ตามความคิดของรัฐบาล ณ เวลานี้ โครงการรับจำนำข้าวถูกต้อง เหมาะสม และเป็นธรรมกับเกษตรกรมากที่สุด!!

 

แต่อยากให้คิดนิดนึงว่า งบที่ใช้ในการรับจำนำที่ ครม.เมื่อวันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมา เพิ่งอนุมัติกรอบที่ 405,000 ล้านบาท จะเป็นการใช้งบเกินตัว และสร้างภาระหนี้สินให้ประเทศและประชาชนหรือไม่?

 
 
 
 
 
 
 

รัฐจะเอาจริงเอาจังในการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตอย่างไร เพราะมีคนสมรู้ร่วมคิดจำนวนมาก ตั้งแต่เกษตรกรไปจนถึงนักการเมือง รัฐจะช่วยเหลือเกษตรกรลดต้นทุนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตระยะยาวอย่างไร เพื่อในอนาคต จะได้ลดการรับจำนำลง

 

แต่เหนืออื่นใด ถ้ากระทรวงพาณิชย์ ขายข้าวในสต๊อกรัฐไม่ได้ตามคาดการณ์ว่าจะมีเงินคืนให้ ธ.ก.ส. ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีนี้ถึงไตรมาสสุดท้ายปีหน้ารวม 260,000 ล้านบาทแล้ว รัฐบาลจะเอาจากไหนมารับจำนำต่อ เกษตรกรที่รออยู่จะทำอย่างไร

 

เพราะงบ 405,000 ล้านบาทที่จะใช้รับจำนำนั้น ครม.ได้ให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้แก่ธ.ก.ส. 150,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะเอามาจากการขายข้าวในสต๊อกรัฐ

 

สิ่งเหล่านี้รัฐบาลคิดตกหรือยังว่าจะมีวิธีการรับมืออย่างไร ไม่มีใครเถียงว่ารับจำนำไม่ดี แต่สมควรหรือไม่ที่รัฐจะตะบี้ตะบันทำโดยไม่ฟังเสียงใครเลย!!

 

 

      ฟันนี่เอส

 

     4 ต.ค.55

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไม่หยุดดันส่งออก


 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
            ไม่เกินความคาดหมาย! สำหรับมูลค่าส่งออกสินค้าไทยเดือนส.ค.55 ที่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง และลดลงในอัตราที่เพิ่มขึ้นจากเดือนก.ค.55 โดยมีมูลค่าที่ 19,750.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 6.95% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นเงินบาท 612,324.2 ล้านบาท ขณะที่เดือนก.ค.55 ติดลบที่ 4.46%
 
            ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 20,770.9 ล้านเหรียญฯ ลดลง 8.78% หรือเป็นเงินบาท 661,224 ล้านบาท ลดลง 3.46% ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล 1,020.7 ล้านเหรียญฯ หรือขาดดุล 39,899.8 ล้านบาท
              ขณะที่ในช่วง 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.) ปีนี้ มูลค่าส่งออกยังคงลดลงเช่นเดียวกัน โดยลดลงที่ 1.31% มีมูลค่า 151,559.3 ล้านเหรียญฯ แต่มูลค่าเป็นเงินบาทกลับเพิ่มขึ้น 1.72% หรือ 4.698 ล้านล้านบาท ส่วนการนำเข้ายังเพิ่มขึ้นเช่นกันที่ 7.63% หรือมีมูลค่า 164,666.6 ล้านเหรียญฯ เมื่อคิดเป็นเงินบาทอยู่ที่ 5.163 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.86%
           ขาดดุลการค้าแล้ว 13,107.3 ล้านเหรียญฯ หรือขาดดุล 465,102.7 ล้านบาท!!
        สาเหตุหลักมาจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยเฉพาะจากวิกฤติหนี้สาธารณะของยุโรป ที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ส่งผลให้ตลาดยุโรปทั้งใหม่ และเก่า มีมูลค่าการส่งออกสินค้าจากไทยลดลงมากกว่าประเทศอื่น
 
 
 
 
 
 
 
 
 
     โดยในเดือนส.ค. มูลค่าส่งออกไทยไปยุโรปสมาชิกเก่า ลดลงถึง 23.1% และยุโรปสมาชิกใหม่
ลดลง 19.2% ส่วนช่วง 8 เดือน ยุโรปใหม่ลดลง 15% และยุโรปเก่า ลดลง 17%
            แต่จนถึงขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงมั่นใจมากว่า มูลค่ารวมของปีนี้ยังคงขยายตัวเป็นบวกได้ แต่จะบวกเท่าไร คงต้องรอลุ้นมูลค่าในช่วงเดือนก.ย.นี้ไปจนถึงสิ้นปี
            ซึ่งหากเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 19,000 ล้านเหรียญฯ อัตราการขยายตัวก็ยังได้ที่ 4-5% ถ้าได้เฉลี่ยต่อเดือนเกิน 20,000-21,000 ล้านเหรียญฯ อัตราขยายตัวทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 7%
            อย่างไรก็ตาม กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (กรมส่งเสริมการส่งออกเดิม) ยังไม่ถอดใจ หรือยอมแพ้ ยังคงหากลยุทธ์ใหม่ๆ ที่จะใช้ผลักดันการส่งออกสินค้าไทยให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้มากที่สุด
 
 
 
 
 
 
              ล่าสุด นายวุฒิชัย ดวงรัตน์รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า  กรมฯ อยู่ระหว่างจัดทำโครงการส่งออกสินค้าไทยไปยังตลาดใหม่ในตลาดเก่า โดยมอบหมายให้ทูตพาณิชย์ ไปศึกษาประเทศที่ประจำอยู่ว่าเมืองอันดับรองๆ จากเมืองหลวง ในแต่ละประเทศต้องการสินค้าใด มีช่องทางการเข้าสู่ตลาดอย่างไร เพื่อผลักดันสินค้าไทยเข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะตลาดยุโรป
            เช่น ที่ฝรั่งเศส ให้ไปดูว่าเมืองรองๆ อย่าง ลียง มาร์เซย์ นีซ ต้องการสินค้าอะไร หรืออย่างอังกฤษ นอกเหนือจากลอนดอนแล้ว ต้องไปดูที่เมืองแมนเชสเตอร์ ลิเวอร์พูล เป็นต้น
 
 
 
 
 
 
          นอกจากนี้ ยังจะผลักดันการส่งออกสินค้ากลุ่มใหม่ๆ เช่น สินค้าสำหรับคนอ้วน หรือสินค้าเพื่อคนรักสุขภาพ เมื่อรู้ความต้องการของผู้บริโภค และช่องทางการเข้าสู่ตลาดแล้ว กรมฯจะจัดคณะผู้แทนการค้าไทยออกไปโรดโชว์ยังเมืองรองเหล่านั้น เพื่อนำสินค้าไทยไปแนะนำให้คู่ค้า
         เชื่อว่าหลังจากดำเนินการเช่นนี้แล้ว จะช่วยเพิ่มยอดการส่งออกไปตลาดยุโรปให้กลับคืนมาได้แน่นอน!!
         จนถึงขณะนี้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก คงต้องช่วยกันทั้งผลัก และดัน ให้มูลค่าขยายตัวเป็นบวกได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เรื่องโกหกสีขาวอะไรน่ะ เลิกพูดเหอะ...
 
                                                            ฟันนี่เอส
 
                                               27กย55