วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ทุจริต:ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา!

 






          
             แม้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศให้การป้องกันและปราบปรามทุจริตคอร์รัปชัน เป็นวาระแห่งชาติมาได้ 2 ปีแล้ว นับตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ โดยทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ปัญหา ดูเหมือนว่า ปัญหานี้ไม่ได้ทุเลาลง แต่กลับทวีความรุนแรงมากขึ้น

             เห็นได้จาก ข่าวตามสื่อต่างๆ ยังมีการโกงกินเป็นว่าเล่น ที่สำคัญ คนไทยยังรับได้กับการทุจริต และเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพื่ออำนวยความสะดวกให้การทำธุรกิจ หรือธุรกรรมต่างๆ สำเร็จราบรื่น

             ด้วยเหตุนี้ การคอร์รัปชัน จึงยังอยู่คู่กับสังคมไทยแบบแยกกันไม่ออก!!







             ส่วนข้อมูลทางวิชาการ จากผลสำรวจดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย เดือนมิ.ย.56 ที่ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดทำขึ้นโดยสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 2,400 ตัวอย่างในกลุ่มประชาชน, ผู้ประกอบการ/ภาคเอกชน และข้าราชการ/ภาครัฐ ช่วยตอกย้ำให้เห็นความรุนแรงด้วย

             โดยดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย เดือนมิ.ย.56 อยู่ที่ 41 คะแนน จากเต็ม 100 คะแนน (0 คะแนนหมายถึงรุนแรงที่สุด และ 100 คะแนนไม่คอร์รัปชัน)  สูงกว่าสำรวจครั้งก่อนเมื่อเดือนธ.ค.55 ซึ่งอยู่ที่ 39 คะแนน ดัชนีฯปัจจุบัน 40 คะแนน สูงขึ้นจาก 38 คะแนน และดัชนีฯแนวโน้ม 42 คะแนน ไม่เปลี่ยนแปลง

   รูปแบบการทุจริตมีทั้งให้สินบน ของกำนัล รางวัล, ใช้ตำแหน่งทางการเมืองเอื้อประโยชน์พรรคพวก, จ่ายเงินเพื่อให้ได้ผลประโยชน์, ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง หรือฮั้วประมูล, ทุจริตเชิงนโยบายโดยผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นต้น

  แต่สิ่งที่น่ากลัว และเสียหายที่สุดคือ ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจกับภาครัฐต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะให้แก่ข้าราชการ นักการเมืองเพื่อให้ได้สัญญา โดยจ่ายมากถึง 25-35% ของวงเงินงบประมาณ

   เมื่อคิดเล่นๆ ในปี 56 รัฐมีงบประมาณ ค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ รวม 942,608 ล้านบาท หากทุจริต 25%  คิดเป็นเม็ดเงิน 235,652 ล้านบาท หรือ 9.82% ต่องบรายจ่ายปี 56 ที่ 2.4 ล้านล้านบาท และคิดเป็น 1.88% ต่อจีดีพีปี 56 ที่ 12.54 ล้านล้านบาท





  แต่ถ้าทุจริต 30% คิดเป็นเม็ดเงิน 282,782.4 ล้านบาท หรือ 11.78% ต่องบรายจ่าย และ 2.25% ต่อจีดีพี และถ้าทุจริตสูงถึง 35% เม็ดเงินที่รัฐเสียหายจะสูงถึง 329,912.8 ล้านบาท หรือ 13.75% ต่องบรายจ่าย และ 2.63% ต่อจีดีพี

  โครงการที่มีโอกาสทุจริตมากสุด ไม่พ้นโครงการรับจำนำข้าว, โครงการ 2 ล้านล้านบาท, โครงการบริหารจัดการน้ำ 350,000 ล้านบาท, โครงการระดับท้องถิ่น และโครงการระดับจังหวัด ที่สำคัญ ผู้ตอบไม่เชื่อ รัฐบาลจะลดคอร์รัปชันได้จริงตามที่ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ

  ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!ว่าไทยโกงกินกันมหาศาลขนาดนี้ เงินกว่า 3 แสนล้านบาท มากกว่างบที่รัฐใช้รับจำนำข้าวเปลือก 1 ฤดูกาลเสียอีก!! ถ้าไม่มีการรั่วไหลไปเข้ากระเป๋าใคร เม็ดเงินนี้น่าจะสร้างความเจริญ ก้าวหน้าให้กับประเทศได้มากกว่าที่เป็นอยู่

  การแก้สันดานคนไทยให้เลิกยอมรับได้กับคอร์รัปชัน และเลิกจ่ายใต้โต๊ะ ไม่ได้อยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่ทุกคนในสังคมต้องรวมพลังต่อต้านทุจริต และกดดันคนทุจริตให้เลิกทำ แม้เป็นเรื่องยากกว่า งมเข็มในมหาสมุทร แต่ต้องเริ่มทำได้แล้วตั้งแต่วันนี้



ฟันนี่เอส


                                                                       1 ส.ค.56

วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บทเรียนแอร์พอร์ตลิงค์สู่ 2 ล้านล้าน











           “คุณเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิประธานคณะกรรมการบริหารสถาบันอนาคตไทยศึกษา ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับความคุ้มค่าของแอร์พอร์ตลิงค์ ที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาท และเตือนสติรัฐบาลชุดนี้ให้มองถึง บทเรียนที่เกิดขึ้น และคำนึงถึงความคุ้มค่าของการใช้งบประมาณในโครงการลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท

          โดยจากการวิเคราะห์ของสถาบันฯ พบว่า แอร์พอร์ตลิงค์ ที่รัฐบาลยุคนั้นวาดฝันไว้อย่างสวยหรู กลับมีผลดำเนินงานต่างจากแผนงานอย่างสิ้นเชิง!!

          เพราะปัจจุบัน มีผู้โดยสารใช้บริการจริงเฉลี่ย 40,811 คนต่อวันเท่านั้น แบ่งเป็นผู้โดยสารของซิตี้ไลน์ 38,230 คนต่อวัน และเอ็กซ์เพรสไลน์ 2,581 คนต่อวัน จากที่ระบุในแผนคาดจะมีผู้โดยสารเฉลี่ย 95,900 คนต่อวัน แบ่งเป็นซิตี้ไลน์  87,700 คนต่อวัน และเอ็กเพรสไลน์ 8,200 คน  






          ส่วนบริการเช็คอินและขนถ่ายสัมภาระผู้โดยสาร ที่ระบุในแผน สถานีมักกะสันจะเป็นสถานีรับ-ส่งผู้โดยสารจากสนามบินสุวรรณภูมิ และนำสัมภาระมาเช็คอินเพื่อใช้บริการขนถ่ายสัมภาระไปสุวรรณภูมิ แต่กลับมีผู้โดยสารเช็คอินเฉลี่ย 12 คนต่อวันเท่านั้น

          ส่งผลให้ขาดสภาพคล่องอย่างหนัก อีกทั้งยังไม่สามารถกู้เงินเพื่อซื้อรถไฟฟ้าขบวนใหม่ ทดแทนขบวนปัจจุบัน ที่ต้องซ่อมบำรุงเมื่อใช้งานครบ 1 ล้านกิโลเมตรในปี 57 และยังไม่ได้รับอนุมัติงบจากกระทรวงการคลัง เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่อง แม้เมื่อเร็วๆ นี้ แอร์พอร์ตลิงค์ระบุว่า ขณะนี้มีรายได้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 

         จากปัญหาที่เกิดขึ้น คุณเศรษฐพุฒิระบุว่า เป็น บทเรียนที่ต้องแก้ไข โดยบทเรียนที่ 1 ข้อมูลโครงการลงทุนของรัฐควรเปิดเผยและเข้าถึงง่าย บทเรียนที่ 2 ตั้งคำถามกับตัวเลขต่างๆ  ที่รัฐนำเสนอว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ บทเรียนที่ 3 เปรียบเทียบงบประมาณที่จะใช้กับโครงการแบบเดียวกัน เช่น โครงการ 2 ล้านล้านบาท ควรเปรียบเทียบกับงบก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง เพื่อให้งบถูกนำไปใช้อย่างคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพสูงสุด 






          บทเรียนที่ 4 ให้ความสำคัญกับทักษะบริหารจัดการโครงการ โดยโครงการ 2 ล้านล้านบาท สังคมควรตั้งคำถามว่า ใครควรบริหารและจัดการ การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพหรือไม่ เพื่อให้แน่ใจว่าโครงการจะสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่า ไม่ก่อให้เกิดภาระผูกพัน

          บทเรียนที่ 5 การประเมินความเป็นไปได้ของโครงการดีพอหรือไม่ และใครเป็นผู้ประเมินความคุ้มค่า ซึ่งโครงการ 2 ล้านล้านบาท ผู้รับผิดชอบคือ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) แต่ที่ผ่านๆ มา สบน. จะตรวจสอบหลังจบโครงการแล้ว และประเด็นที่ตรวจสอบไม่สะท้อนถึงความคุ้มค่าของโครงการ และบทเรียนสุดท้าย ใครคือผู้รับผิดชอบโครงการ หากไม่ประสบความสำเร็จ หากไม่ต้องการให้โครงการ 2 ล้านล้าน เกิด ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยควรปรับปรุงระบบประเมินผลทั้งก่อน และหลังอนุมัติดำเนินการใหม่

         ฟันนี่เอสมองว่า แอร์พอร์ตลิงค์ เป็นโครงการที่ดี ที่ช่วยอำนายความสะดวกในการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยว และคนไทยได้ แต่เพราะการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง จึงกลายเป็น ความอัปยศของประเทศ เหมือนเสาตอม่อ โฮปเวลที่ตั้งเป็นอนุสรณ์ประจานการทุจริตคอรัปชัน

          เมื่อมีคนเตือนสติดังๆ แบบนี้ รัฐบาลควรจะรับฟังไว้บ้าง เพื่อให้การใช้งบประมาณคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ถ้ายังเพิกเฉย ยังมีภาคประชาสังคม ที่กำลังรอจับผิดอยู่ ระวังตัวไว้ให้ดีแล้วกัน 



                                                                                ฟันนี่เอส


                                                                               26 ก.ค.56

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บทเรียนจากการแชร์มั่วๆ









   
          จนถึงวันนี้ ข่าวโจมตีข้าวไทยปนเปื้อสารพิษ ไม่ปลอดภัยสำหรับการบริโภคยังไม่หายไปจากสื่อบ้านเรา เพราะมีความพยายามจากคนหลายกลุ่ม ที่กุกันขึ้นมา เพื่อหวังทำลายชื่อเสียงข้าวไทย ดิสเครดิตรัฐบาล และโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ทั้งที่ไม่มีความจริงอยู่เลย!! 
   
 





          และในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวนี้ก็ถูกโหมกระพือให้ลุกเป็นไฟขึ้นอีกด้วยฝีมือการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวของ นายสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ พิธีกรชื่อดังจากรายการ คนค้นคนและผู้บริหารบริษัท ทีวีบูรพา จำกัด ที่ระบุว่าข้าวสารบรรจุถุงของไทยปนเปื้อนสารพิษ
   
 
          ที่สำคัญ มีการระบุชื่อยี่ห้อข้าวถุงที่ห้ามคนไทยบริโภค ชนิดข้าว ชื่อโรงสี และบริษัทผู้ผลิต โดยไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนว่า ข้อความที่เห็นแชร์กันต่อๆ มาให้โลกโซเชียลมีเดีย และตนเองได้นำมาแชร์ต่อนั้น ถูกต้อง และอยู่บนพื้นฐานของความจริงหรือไม่ เป็นการกล่าวหา และใส่ร้ายผู้อื่นหรือไม่ และทำให้ธุรกิจเสียหายหรือไม่
   
 
          การโพสต์ของนายสุทธิพงษ์ ที่อ้างว่าเพื่อช่วยเหลือคนไทยให้กินข้าวที่ปลอดภัยนั้น สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนเป็นอันมาก!! 
   
 
          เพราะความเป็น สื่อของเค้าทำให้คนที่พบเห็นข้อความดังกล่าว ที่ไม่ได้ใช้สติปัญญา และเหตุผลตรึกตรอง ใช้แต่อารมณ์ อคติ และความเกลียดชังรัฐบาล ถึงกับตกอกตกใจ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องจริง 

          ส่งผลให้เกิดการแชร์ต่อๆ กันไป จนคนไทยไม่กล้าบริโภคข้าว เพราะกลัวตามข้อความในเฟซบุ๊กของนายสุทธิพงษ์ว่า รัฐบาลจะวางยาพิษประชาชนและยังทำให้ผู้ผลิตข้าวที่ถูกพาดพิงถึง เกิดความเสียหายทางธุรกิจ จนต้องทุ่มเงิน 30-50 ล้านบาท กอบกู้ภาพลักษณ์ข้าวถุงของตนเอง กลายเป็นการเสียเงินโดยไม่จำเป็น
   
 





          ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ข้าวไทยไม่ได้มีสารพิษปนเปื้อนอย่างที่กุข่าวขึ้นมาโจมตี เพราะสารที่ใช้รมยาข้าวก็ใช้กันทั่วโลก ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) ในระหว่างการรมยา จะปิดกองข้าว ปิดประตูโกดังไว้ 10-15 วัน โดยห้ามเปิดเด็ดขาด เพราะยาที่รมข้าวอาจทำอันตรายกับสิ่งมีชีวิตได้ แต่หลังจากรมยาทิ้งไว้ตามเวลาที่กำหนด ยานี้จะระเหยไปเอง และไม่เหลือเป็นสารพิษตกค้าง เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
   
 





          หลังการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ถูกคนเข้าไปก่นด่าในเฟซบุ๊กอย่างถล่มทลาย โทษฐานทำลายชื่อเสียงข้าวไทยแล้ว ทำให้นายสุทธิพงษ์ต้องเร่งชี้แจงกับผู้ที่ถูกพาดพิง และนายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ ถึงเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ ที่ไม่ได้จ้องทำลายข้าวไทย แต่เพื่ออยากให้คนที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบ และแก้ปัญหาข้าวปนเปื้อนสารพิษ     

          เรื่องลงเอยที่ นายสุทธิพงษ์ และบริษัท เจเอสเอล จะร่วมกันทำแผนกอบกู้ภาพลักษณ์ และฟื้นฟูความเชื่อมั่นในข้าวไทย ให้กลับขึ้นมาอยู่ในระดับเดิม หรือดีกว่าเดิม โดยใช้สื่อทั้งหมดที่มีอยู่ ซึ่งรูปแบบจะออกมาอย่าง และจะโปรโมตข้าวไทยในสื่อใด คงต้องติดตามต่อไป
   
          หากมองกันตามหลักของพุทธศาสนาแล้ว การโพสต์ข้อความแบบชุ่ยๆ โดยปราศจากการใช้ปัญญาตรึกตรองเช่นนี้ กำลังทำให้เขาได้รับกรรมที่ตนเองก่อขึ้น เพราะแม้จะมีคนรัก และให้กำลังใจเหมือนเดิม แต่ก็เพิ่มคนเกลียดชัง และคนสาปแช่งใหมากขึ้นโดยใช่เหตุ กลายเป็น เหยื่อการกระทำของตนเอง และยังต้องทำงานช่วยเหลือรัฐบาล และอุตสาหกรรมข้าว โดยไม่ได้รับผลตอบแทนอีกต่างหาก
   
 
          สังคมไทยทุกวันนี้ มีแต่ข่าวลือ ข่าวปล่อย ข่าวที่กุขึ้นมาเพื่อจ้องทำลายฝ่ายตรงข้าม โดยไม่คิดหน้าคิดหลังว่า ได้ส่งผลเสียหายต่อเนื่องไปอย่างไร ที่สำคัญ การเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง การจะโพสต์ข้อความ หรือจะแชร์อะไร จะทำแบบชุ่ยๆ ไม่ได้แล้ว ต้องใช้สติคิดสักนิดก่อนจะกด “send” ดีกว่าไหม?
               
 
                                     

                                                 ฟันนี่เอส


                                              18.ก.ค.56



                     ................................................









แฟน ฟันนี่เอส กระจก 8 หน้า ส่งมาให้

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ทำให้ดีกว่าเดิม - อย่าดีแต่คุย!



























           ภายหลังการปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดนี้ หรือ ยิ่งลักษณ์ 5สปอตไลท์ทุกดวงจับจ้องมาที่กระทรวงพาณิชย์ เป้าหมายใหญ่ของการปรับครม.ครั้งนี้

           เพราะได้บุคคลที่น่าสนใจมานั่งตำแหน่งสำคัญถึง 2 คนคือ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล มาเป็นรมว.พาณิชย์ และนายยรรยง พวงราช อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ ขึ้นแท่นเป็นรมช.พาณิชย์

           นายนิวัฒน์ธำรง เป็นบุคคลที่นายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไว้เนื้อเชื่อใจ และมีฝีมือในการบริหารองค์กร ว่ากันว่า นายกรัฐมนตรี ส่งมาเพื่อปรับภาพลักษณ์กระทรวงพาณิชย์ให้ดีขึ้น ไม่เป็นจุดอ่อนของรัฐบาลเหมือนเมื่อครั้งอยู่ภายใต้การนำของ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ ที่ถูกปู้ยี่ปู้ยำไม่เว้นแต่ละวัน








            ส่วนนายยรรยง คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณให้มากความ มิตรรักแฟนคลับคงจะรู้จักกันดี เพราะเป็นผู้ที่กล้าชนกับพรรคประชาธิปัตย์มาตั้งแต่ครั้งยังเป็นปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ตั้งฉายานายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ว่า ปลาบู่ชนเขื่อน

    และยังเป็นผู้ที่นายกรัฐมนตรี เลือกมาเองกับมือให้มานั่งที่ตำแหน่งนี้ เพื่อหวังให้มาแก้ไขปัญหาของโครงการรับจำนำข้าว และระบายข้าวในสต๊อกของรัฐบาล ให้เดินหน้าได้อย่างราบรื่น และมั่นคง

            รมช.พาณิชย์ ป้ายแดง เล่าให้ฟังระหว่างการสนทนาสั้นๆ สัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การรับตำแหน่งสำคัญครั้งนี้ เพื่อมาผลักดันโครงการรับจำนำข้าวให้เดินหน้าได้ เพราะเป็นนโยบายหลักสำคัญของรัฐบาล ซึ่งนายกรัฐมนตรี ย้ำเรื่องความโปร่งใส จัดการปัญหาทุจริตคอรัปชันให้ได้มากๆ และต้องทำงานเป็นทีม เอาภารกิจเป็นตัวตั้ง...

...ที่ผ่านมา โครงการรับจำนำข้าวถูกโจมตีมาก ส่วนหนึ่งมาจากการเมือง ที่นำเสนอข่าวว่าโครงการล้มเหลว ขาดทุนมหาศาล มีทุจริตมากกว่าที่ผ่านมา หวังจะให้ล้มเลิกโครงการ แต่กลับเป็นว่า ชาวนาต้องการโครงการนี้ เพราะเงินถึงมือชาวนาอย่างแท้จริง...

  ...แม้โครงการรับจำนำข้าวจะขาดทุน แต่อยากให้มองว่า เป็นการลงทุนเพื่อประชาชนเหมือนโครงการอื่น อย่างการลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าเป็นแสนล้านบาท ที่รัฐบาลไม่ได้อะไรเลย ขาดทุน 100% แต่ลงทุนเพื่อประชาชน จึงไม่เรียกว่าได้กำไร หรือขาดทุน ซึ่งชาวนา รัฐบาลก็ทำในทำนองเดียวกัน แต่ไม่มีใครมองเช่นนั้น กลับมองว่า โครงการรับจำนำ ทำให้รัฐขาดทุน...









           นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังต้องเร่งรัดการระบายสต๊อกข้าวออกให้ได้มากที่สุด ในราคาดีที่สุด ส่วนข้าวที่ทำสัญญาขายไปแล้ว จะเร่งรัดให้ผู้ซื้อมารับมอบโดยเร็ว เพื่อจะได้เอาเงินมาหมุนเวียนใช้ในโครงการรับจำนำต่อไป








           รวมถึงยังมีแผนจะโปรโมตข้าวหอมมะลิไทย ให้เป็นของขวัญ ของฝากติดอันดับ ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยแล้วต้องซื้อติดมือกลับไป ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของข้าวไทยแล้ว ยังจะช่วยกระตุ้นการส่งออกอีกด้วย

           นายยรรยง ยืนยันชัดว่า การเข้ารับตำแหน่งครั้งนี้ ไม่ได้กดดัน เพราะไม่ใช่ตนคนเดียวที่จะเป็น พระเอกขี่ม้าขาวผลักดันโครงการรับจำนำให้เดินหน้าได้ แต่ยังมีรัฐมนตรี ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในกระทรวง และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องช่วยกันทำงานเป็น ทีม

           นับจากนี้คงต้องติดตามแบบไม่วางตาล่ะว่า รัฐบาลจะประสบความสำเร็จในการเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าว และขายข้าวหรือไม่ หรือว่าจะเป็นเพียงแค่ราคาคุยเท่านั้น!!




ฟันนี่เอส






                                              11 ก.ค. 56




           .................................................................





เปิดใจ "คนข่าว กระทรวงพาณิชย์" ไล่ถาม "บุญทรง-ณัฐวุฒิ" จนมุม "จำนำข้าว"


http://www.isranews.org/component/content/article/59/22261-rice.html