วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เวรกรรมเกษตรกร!



            
               เฮ้อ! เหนื่อยจริงๆ เกิดเป็นเกษตรกรไทย เป็นกลุ่มที่มีมากที่สุดในประเทศไทย แต่ก็ยากจนที่สุดเหมือนกัน ทั้งที่ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ผลิตอาหารเลี้ยงคนทั่วโลก สร้างรายได้เข้าประเทศปีละมหาศาล  
  
            แต่ชีวิตความเป็นอยู่เกษตรกรกลับยังยากจนแสนเข็ญ ไม่ร่ำรวยเหมือนคนอื่นเสียที!!      
  
               เห็นได้จากการสำรวจสถานภาพเกษตรกรไทย ที่สำรวจจากเกษตรกร 1,182 ตัวอย่างทั่วประเทศ วันที่ 19-22 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า กลุ่มตัวอย่าง 87.6% ระบุเป็นหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบมากกว่า 100,000 บาทขึ้นไป และมีรายได้เพียง 10,000-20,000 บาท โดยหนี้เหล่านี้เกิดจากการใช้จ่าย ต้นทุนการเกษตร และการซื้อทรัพย์สิน
  
               ที่น่าตกใจคือ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ระบุไม่สามารถใช้หนี้ได้ ทั้งในระบบและนอกระบบ    
  
               แม้ปีนี้ ราคาผลผลิตทางการเกษตรจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เกษตรกรแทบไม่ไดรับอานิสงส์เลย เพราะต้น ทุนการผลิตที่สูงสุดโต่ง ทั้งจากค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าน้ำมัน ค่าแรง และอื่นๆ อีกจิปาถะ จนขายสินค้าได้ไม่คุ้มทุน  
  




               ความยากลำบากของเกษตรกรไทย ส่วนหนึ่งต้องโทษทุกรัฐบาล ที่ไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออย่างจริงจัง และจริงใจ แม้มีโครงการช่วยเหลือมากมาย อย่างรับจำนำสินค้าเกษตรนานาชนิด แต่เงินก็รั่วไหลเข้ากระเป๋าใครต่อใครเป็นว่าเล่น จนแทบไม่เหลือถึงมือเกษตรกรตัวจริงเลย
  
               ขณะเดียวกัน หน่วยงานรัฐ ที่เกี่ยวข้อง กลับไม่กระตือรือร้นในการทำงาน รู้ทุกสิ่งอย่างว่าต้องพัฒนาผลผลิต ปรับปรุงพันธุ์พืช-พันธ์ุสัตว์ วิธีการเพาะปลูกอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการผลิตอย่างไร หรือเพิ่มผลผลิตต่อไร่อย่างไร แต่กลับไม่ทำสักที ได้แต่ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองอยู่อย่างนั้น
  
               ที่สำคัญ ไม่มีระบบชลประทานที่มีประสิทธิาพ กักเก็บน้ำไว้ใช้ยามจำเป็น แต่กลับเป็นว่า เมื่อถึงฤดูน้ำหลากกลายเป็นน้ำท่วม แต่พอฝนไม่ตกก็แห้งแล้ง ผลผลิตเสียหายทั้งขึ้นทั้งล่อง ซ้ำเติมเกษตรกรให้ย่ำแย่หนักขึ้นไปอีก
  
               ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เกษรตกรที่ขาดความรู้ ขาดเงิน ยังวนเวียนอยู่กับวิธีการเพาะปลูกแบบเดิมๆ  อาศัยเทวดาฟ้าฝน และธรรมชาติ ไม่มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มผลผลิตต่อไร่ เพื่อให้มีผลผลิตขายได้มากขึ้น และมีรายได้มากขึ้น
  




             ทั้งที่ไทยวางเป้าหมายประเทศเป็นผู้ผลิต และส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของโลก แต่ไม่มีการพัฒนาด้านการเกษตรโดยสิ้นเชิง ถือเป็นความล้มเหลวเชิงนโยบายของแทบจะทุกรัฐบาลก็ว่าได้
  
             ต่างจากประเทศอื่น ไม่ต้องอื่นไกลแค่เวียดนาม ที่รัฐบาลพัฒนาด้านการเกษตรทุกอย่าง จนผลผลิตของเวียดนาม โดยเฉพาะข้าวก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งข้าวไทยได้อย่างไม่อายใคร
  
           หากยังเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องเป็นหมอดูก็ทำนายได้ว่า อนาคตสินค้าเกษตร และเกษตรกรไทยจะเป็นอย่างไร!!
  
             “ฟันนี่เอส” ขอให้พรรคการเมืองที่กำลังหาเสียงอยู่ตอนนี้ สำเหนียกถึงความสำคัญ และความยากลำบากของคนกลุ่มนี้ อยากให้มีนโยบายที่สร้างความมั่นคงด้านอาชีพ และรายได้ให้พวกเขาบ้าง
  
            ไม่ใช่ดีแต่พูดปาวๆ แต่พอถึงคราวเป็นรัฐบาลกลับนิ่งเฉย เมื่อเกิดปัญหา ก็ปล่อยให้เกษตรกรลุกฮือประท้วงโดยไม่เหลียวแล...เหมือนที่ผ่านมา



                                                                                                     ฟันนี่เอส


                                                                                                      2มิย54

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ลดราคาน้ำมันปาล์มขวด




            วันก่อนเห็นข่าว กระทรวงพาณิชย์ พยายามเรียกร้องให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เรียกประชุมเพื่อพิจารณาลดราคาขายปลีกน้ำมันปาล์มบรรจุขวดลิตร จากปัจจุบันกำหนดราคาควบคุมที่ขวดละ 47 บาท

            เพราะขณะนี้ ราคาผลปาล์มสดลดลงมาก โดยชาวสวนปาล์มขายได้จริงเพียงกิโลกรัมละ 4.80 บาท เปอร์เซ็นต์น้ำมัน 17% ถ้าเปอร์เซ็นต์น้ำมันต่ำกว่านี้ ราคาเหลือเพียงกก.ละ 3-4 บาทเท่านั้น





    ทั้งที่ มติ กนป.กำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชนให้บริโภคน้ำมันปาล์มขวดไม่เกินขวดละ 47 บาทในช่วงต้นปีที่ราคาน้ำมันปาล์มทะยานขึ้นหลายเท่าตัว ด้วยการให้โรงสกัด และโรงกลั่น รับซื้อผลปาล์มสดจากชาวสวนที่กก.ละ 6 บาท โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินชดเชยให้กับโรงสกัด และโรงกลั่น

    แต่เอาเข้าจริง โรงสกัดและโรงกลั่นบางส่วน ที่เห็นแก่ประโยชน์ตนเองก็กดราคารับซื้อ โดยอ้างไม่ได้เปอร์เซ็นต์น้ำมันตามที่กำหนด ประกอบกับ ผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น ราคาจึงร่วงลงอย่างช่วยไม่ได้

    ขณะเดียวกัน  สมาคมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มแห่งประเทศไทย ก็เรียกร้องให้ กนป.ยกเลิกมติรับซื้อปาล์มในราคาประกันกก.ละ 6 บาท (แต่คงหมดหวัง เพราะรัฐบาลคงไม่กล้าทำลายคะแนนเสียงของตัวเองในช่วงเลือกตั้ง แม้จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด) และปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาด





    เพราะจนถึงขณะนี้ โรงกลั่น และโรงสกัด ยังไม่ได้รับเงินชดเชยจากรัฐบาล จนทำให้ขาดเงินทุนหมุนเวียน
ผลิตน้ำมันปาล์มขวด ทำให้น้ำมันปาล์มไม่หมุนเวียนในตลาดอย่างที่ควรจะเป็น

    ขณะที่การบริโภคของประชาชนมีจำกัด และการผลิตไบโอดีเซลบี 5 ก็ไม่สามารถดูดซับผลผลิตได้ทั้งหมด ที่สำคัญ ผู้ประกอบการไม่สามารถส่งออกได้ เพราะราคาต่างประเทศถูกกว่าในประเทศมาก ส่วนการจะหยุดรับซื้อจากชาวสวนก็ทำไม่ได้ เพราะเกรงรัฐบาลจะเล่นงานหนัก จึงเกิดภาวะน้ำมันปาล์มล้นตลาด และราคาดิ่งตามสูตร

   เมื่อต้นทุนการผลิตลดลง ราคาขายปลีกน้ำมันปาล์มขวดก็จำเป็นต้องลดลงด้วยเช่นกัน จะคงราคาที่ขวดละ 47 บาทเพื่อประโยชน์อะไร และประโยชน์ใครกัน!! ขนาดห้างค้าปลีกยังขายแค่ขวดละ 44-44.50 บาทแล้ว

  จนถึงขณะนี้ กนป.ยังไม่มีการประชุมเพื่อพิจารณาปรับลดราคาแต่อย่างใด ทั้งที่กำหนดจะพิจารณาสถานการณ์น้ำมันปาล์มทุกๆ 15 วัน ซึ่งการคงราคาขายที่ 47 บาท มีคนไม่มีกลุ่มที่จะได้ประโยชน์ (คนที่คุณก็รู้ว่าใคร)

  แต่คนเสียประโยชน์คือ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ต้องทนกินของแพง แทนที่จะได้กินของถูกไปตั้งนานแล้ว





  “ฟันนี่เอส” ว่าทางที่ดีที่สุด ควรปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาดได้แล้ว เมื่อต้นทุนวัตถุดิบถูกลง ราคาสินค้าสำเร็จรูปก็ควรจะลดลงตาม ซึ่งไม่มีใครเสียประโยชน์แน่นอน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างยอมรับได้

  รัฐบาลจะมานั่งฝีนธรรมชาติ ด้วยการอุดหนุน ช่วยเหลือกันอย่างนี้ไปถึงไหน หรือว่ายังกอบโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเองไม่พอ แต่ใครจะตายก็ชั่งมันอย่างนั้นหรือ

  ก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะหมดอำนาจวาสนาลงจริงๆ ขอให้สร้างประโยชน์เพื่อประชาชนอีกอย่างเถอะ  เพราะยุคนี้ใครๆ ก็บ่นหนาหูเหลือเกินว่า ข้าวของแพงมหาโหด ทั้งที่เป็นผู้ผลิตอาหารเลี้ยงชาวโลกแท้ๆ

                                                        
                                              ฟันนี่เอส


                                                                         26พค54

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หยุดกินบ้านกินเมือง





 
                                                        
                หากถามว่า อะไรเป็นสาเหตุให้ประเทศไทยไม่ก้าวล้ำหน้า และเป็นประเทศพัฒนาแล้วเหมือนประเทศอื่น คำตอบคงมีหลากหลาย แต่เชื่อว่า หนึ่งในนั้นน่าจะรวมถึง การทุจริตคอร์รัปชั่น ที่อยู่คู่สังคมไทยมานาน จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยไปเสียแล้ว

  ไม่ว่าจะมองไปทางไหน จะเห็นแต่การทุจริตคอร์รัปชั่น โกงกินบ้านเมืองไปทุกหย่อมหญ้า  กินกันได้ทุกวงการ ทุกอาชีพ ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ บริษัทเอกชน  รัฐวิสาหกิจ ฯลฯ





   โดยร้อยทั้งร้อยของพวกโกงกิน ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก ด้วยการจ้องตะครุบเอาผลประโยชน์ของชาติเข้ากระเป๋าตัวเอง ทำให้เม็ดเงินที่จะลงไปพัฒนาบ้านเมืองถูกแบ่งส่วนออกไป จนเหลือนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงแค่กระผีกเท่านั้น

    พฤติกรรมเช่นนี้ นอกจากไม่ทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าแล้ว ยังฉุดรั้งให้ตกต่ำ ขาดการพัฒนา มีภาพลักษณ์ย่ำแย่ในสายตาชาวโลก

   จากการจัดอันดับคอร์รัปชั่นโลกประจำปี 53 พบว่า ไทยอยู่อันดับที่ 78 จากทั้งหมด 178 ประเทศทั่วโลก ส่วนดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยในปี 53 ที่สำรวจครั้งแรกเมื่อเดือนพ.ย.-ธ.ค.53 โดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า อยู่ในขั้นรุนแรงมาก และคาดว่าในอนาคตจะแย่ลงอีก

                น่าแปลกที่ทุกคนรู้ดีถึงผลร้ายของการคอร์รัปชั่น แต่กลับไม่มีใครสนใจแก้ปัญหา แม้แต่นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังนิ่งเฉย ยอมปล่อยให้รัฐมนตรี และคนในรัฐบาลกอบโกยหาประโยชน์ใส่ตัว ใส่พรรคอย่างเอิกเกริก ทั้งที่เคยประกาศจะล้างบางคอร์รัปชั่นในประเทศ





 
               แต่ยังโชคดี ที่สถาบันเอกชน อย่างหอการค้าไทย นำโดยนายดุสิต นนทะนาคร ประธาน เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ และประกาศปราบปรามคอร์รัปชั่น เป็นยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

   โดยได้ร่วมมือกับภาคีต่างๆ 18 องค์กร ภายใต้ชื่อ  (เน้นดำ) ภาคีเครือข่ายการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ทำกิจกรรมกระตุ้นจิตสำนึกคนไทยต่อต้านคอร์รัปชั่นให้เกิดผลเป็นรูปธรรม  





 
   ซึ่งจะจัดสัมมนาใหญ่เรื่อง ต่อต้านคอร์รัปชั่น จุดเปลี่ยนประเทศไทย วันที่ 1 มิ.ย.นี้ ที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี  กรุงเทพฯ  โดยมีคณะกรรมการอิสระเพื่อการปราบปรามการคอร์รัปชั่น ของฮ่องกงบรรยายถึงความสำเร็จในการปราบปรามการคอร์รัปชั่นของฮ่องกง และจะระดมความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมสัมมนาเพื่อต่อต้านคอร์รัปชั่นอย่างเป็นรูปธรรม





 
  ฟันนี่เอส อยากฝากให้พรรคการเมืองนำเรื่องนี้เป็นหนึ่งในนโยบายหาเสียง และเมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้วต้องทำอย่างที่พูดไว้ อย่ากลืนน้ำลายตัวเอง เพื่อให้ประเทศไทยก้าวหน้าทัดเทียมประเทศอื่นเสียที

                                                             ฟันนี่เอส


                                                                             19พค54

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ทุกข์ของพ่อแม่

                                                        



            ถ้าถามคนที่เป็นพ่อแม่ ใน 1 ปีไม่ชอบเดือนไหนมากที่สุด คำตอบคงจะเป็นเดือนพ.ค. เพราะเป็นช่วงเปิดเทอม ที่จะต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าเทอม ค่าชุดนักเรียน กระเป๋า ถุงเท้า รองเท้า อุปกรณ์การเรียน รวมไปถึงค่าแป๊ะเจี๊ย ค่าโสหุ้ยสารพัด

           ทำให้ในช่วงเปิดเทอมแต่ละครั้ง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ทั้งสถานศึกษา ร้านขายชุดนักเรียน ขายอุปกรณ์การเรียน เฟื่องฟูอย่างเห็นได้ชัด




          โดยเปิดเทอมปีนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์จากผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,183 คน ระหว่างวันที่ 3-7 พ.ค. 54 ว่า จะมีเงินสะพัดถึง 46,900 ล้านบาท เพื่มขึ้นจากปีก่อน 5.4% โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยรวม 6,939 บาทต่อคน เพิ่มขึ้น 42.38%

  ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้ ไม่ใช่เพราะผู้ปกครองซื้อสินค้ามากชิ้นขึ้น แต่ซื้อได้น้อยชิ้นลงด้วยซ้ำ เพราะราคาสินค้าปรับสูงขึ้น ทั้งชุดนักเรียน ถุงเท้า รองเท้า หนังสือ กระเป๋า เครื่องเขียน  (แต่กระทรวงพาณิชย์ก็ยังยืนยันเป็นแผ่นเสียงตกร่องว่า ราคาชุดนักเรียนไม่ได้ปรับขึ้นสักบาท)



  ยิ่งเป็นอุปกรณ์การเรียน กระเป๋า หนังสือ และชุดนักเรียนของโรงเรียนเอกชนด้วยแล้ว ยิ่งแพงสุดๆ บางโรงเรียนแค่นักเรียนอนุบาล มีเสื้อ กางแกง เสื้อกั๊ก ราคาสูงถึงชุดละ 1,300 บาท ส่วนชุดนักเรียนชั้นประถมก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน

  อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เข้ามาดูแลตรงนี้บ้าง ไม่อยากให้โรงเรียนเอาเปรียบผู้ปกครองมากเกินเหตุ

  นอกจากนี้ ผู้ปกครองยังต้องมีค่าใช้จ่ายนอกเหนือจากค่าเทอมอีกมาก โดยโรงเรียนเอกชน มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากค่าเทอม 5,930 บาท ส่วนโรงเรียนรัฐบาล 7,080 บาท ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเติมนี้ส่วนใหญ่จะเป็นค่าสนับสนุนและค่าบำรุงโรงเรียน รวมถึงแป๊ะเจี๊ยอีกต่างหาก

  ตัวเลขค่าใช้จ่ายที่มากมายขนาดนี้ ถ้าเป็นคนพอมีอันจะกิน คงไม่รู้สึกอะไร และพร้อมจ่ายมากขึ้น เพื่อให้ลูกหลานได้เรียนโรงเรียนดีๆ มีระดับ



  แต่คนชั้นกลางถึงล่าง คงต้องนอนก่ายหน้าผากคิดหนักว่า จะหาเงินที่ไหนมาใช้จ่าย โดยเฉพาะในยุคที่ข้าวของแทบจะทุกอย่างแพงมหาโหดแบบนี้ ทางออกของคนจน คงหนีไม่พ้นการกู้เงิน ซึ่งจะยิ่งทำให้หนี้สินพอกพูนขึ้นอีกเป็นกอง และถ้าพ่อแม่หาเงินไม่ได้ ก็พลอยไม่ให้ลูกได้เรียนหนังสือไปด้วย

 “ฟันนี่เอส” อยากให้รัฐบาลชุดใหม่ ที่จะเข้ามาบริหารประเทศให้ความสำคัญกับการศึกษาด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเรียนฟรี การจัดหาชุดนักเรียนให้ฟรีสำหรับเด็กยากจน มีหนังสือให้ยืมเรียน มีทุนการศึกษาเพิ่มมากขึ้นในทุกระดับชั้น และถ้าเป็นไปได้ ควรดูแลค่าเทอมของโรงเรียนเอกชน ไม่ให้แพงเกินไป และคุมการรีดเงินใต้โต๊ะให้ได้

 แต่เหนือสิ่งอื่นใด ต้องมีนโยบายเศรษฐกิจ ที่เน้นสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และการเติบโตด้านรายได้ของประชาชน ไม่ใช่จ้องแต่สร้างรายได้ของตัวเองเท่านั้น


                                                ฟันนี่เอส


                                                                    12พค54

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หยุดล้างแค้นเสียที

                                                             



   
         
           ตอนนี้ ผู้คนทั่วโลกต่างสนใจข่าวการเสียชีวิตของนายโอซามะ บิน ลาดิน ผู้นำขบวนการก่อการร้ายอัล-กออิดะห์  ศัตรูหมายเลข 1 ของสหรัฐฯเป็นอันมาก เพราะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ช็อกโลก 9-11 ถล่มตึกแฝด เวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ และเพนทากอน จนคนสหรัฐฯบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก

           ท่ามกลางความสนใจดังกล่าว ย่อมมีทั้งความชื่นชมยินดีกับปฏิบัติการล่าหัวนายบิน ลาดิน ของสหรัฐฯ และเสียงก่นด่า สาปแช่ง ที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ของเครือข่ายอัล-กออิดะห์ทั่วโลก รวมถึงชาวมุสลิมบางส่วนที่สนับสนุนนายบิน ลาดิน

            ทำให้ทั่วโลกคาดการณ์ว่า อาจเกิดการล้างแค้น และเหตุก่อการร้ายป่วนสหรัฐฯ และพันธมิตร ที่เป็นประเทศเป้าหมายของการโจมตีอย่างไม่ลดละ การเสียชีวิตของผู้นำอัล-กออิดะห์ อาจไม่ก่อให้เกิดความสงบสุข และสันติภาพบนโลกอย่างที่สหรัฐฯต้องการ





    แน่นอนว่า หากโลกเกิดภัยก่อการร้ายรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำอีก จะกระทบต่อความมั่นใจของผู้คนในทันที โดยเฉพาะจะทำให้หยุดการเดินทาง รายได้จากการท่องเที่ยวแต่ละประเทศจะหายไป อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะซบเซา ผู้คนอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปกิน ไปใช้จ่ายเงินนอกบ้าน เศรษฐกิจแต่ละประเทศจะทรุดลง

    ขณะเดียวกัน จะกักตุนอาหาร และน้ำมันเชื้อเพลิงกันมากขึ้น จนดันให้ราคาอาหาร และน้ำมันในตลาดโลกทะยานขึ้นต่อเนื่อง เมื่อราคาน้ำมันขึ้น ต้นทุนด้านต่างๆ ของผู้ผลิตสินค้าก็สูงขึ้นตาม แต่พอจะขึ้นราคา ผู้ซื้อกลับไม่ยอมซื้อ ทำให้ส่งออกสินค้าไม่ได้ ธุรกิจซบเซา เมื่อผู้ส่งออกจำนวนมากไม่สามารถหารายได้เข้าประเทศได้ เศรษฐกิจประเทศนั้นจะชะลอลงทันที

    สุดท้าย เกิดผลกระทบไปทั่วโลก แม้แต่ไทยก็ไม่เว้น โดยเมื่อเศรษฐกิจโลกทรุด เศรษฐกิจไทยก็ทรุดตาม เพราะไทยพึ่งพารายได้จากการส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโตมาโดยตลอด

    ส่งผลให้ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ถึงภาวะเศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่า อาจขยายตัวได้เพียง 3.5-3.9% จากเดิมที่คาดขยายตัว 4-4.5% หากเกิดการล้างแค้น และภัยก่อการร้ายรุนแรง เพราะจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก





    รวมถึงอาจทำให้ราคาน้ำมันตลาดโลกทะลุ 130 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว การส่งออกสินค้าไทย ประกอบกับ ปัจจัยในประเทศ ที่มีความกังวลจะยุบสภาแต่ไม่มีการเลือกตั้ง หรือเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง

     แต่โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายมีเพียง 10% เท่านั้น

   โดยศูนย์ฯเชื่อว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 4-4.5% เพราะมั่นใจการเมืองยังมีเสถียรภาพ การเลือกตั้งเป็นไปโดยปกติ นโยบายรัฐบาลยังประคองเศรษฐกิจไปได้ถึงสิ้นปี ส่วนเศรษฐกิจโลกจะค่อยๆ ฟื้นตัว และไม่มีผลกระทบจากสึนามิ หรือภัยก่อการร้าย

   ถึงตรงนี้ “ฟันนี่เอส” อยากขอแรงคนไทย และชาวโลกช่วยกันภาวนา อย่าให้เกิดการล้างแค้น หรือก่อการร้ายขึ้นอีกเลย เพราะไม่อยากให้ไทย และโลกย่อยยับมากไปกว่านี้.... สาธุ!!


                                            ฟันนี่เอส

                                                                                    5 พค 54