วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ยอมรับ“โกหกสีขาว”เพื่ออะไร?


 











 

      เป็นงง! ที่จู่ๆ นายกิตติรัตน์ ณ ระนองรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ยอมรับว่า รัฐบาล โกหกมาโดยตลอดเรื่องเป้าหมายขยายตัวมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยในปีนี้ ที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าขยายตัวได้มากถึง 15% จากปีก่อน มูลค่า 263,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

 

      มิหนำซ้ำ ยังยอมรับอีกว่า ได้หดเป้าหมายเหลือโตแค่ 9% เท่านั้น!!

 

      โดยเหตุผลที่ต้อง โกหกสีขาว” (White Lies) เพราะกระตุ้นการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ให้มีแรงฮึดเร่งผลักดันส่งออกให้ได้มากที่สุด และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติว่า ภาคส่งออกของไทยยังขยายตัวเป็นบวกได้ในอัตราสูง แม้เศรษฐกิจโลกจะมีปัญหาสารพัด และไทยเพิ่งผ่านพ้นช่วงน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปีก่อน

 
 



 
 

     เหตุผลฟังดูดีมาก เพราะทำให้กรมส่งเสริมการส่งออก ทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ เร่งหาแผนผลักดันการส่งออกเต็มที่ แก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรค และหาวิธีอำนวยความสะดวกให้ผู้ส่งออก

 

      ขณะที่ภาคเอกชน ก็เร่งโหมส่งออกแบบไม่ลืมหูลืมตา จนมูลค่าในช่วง 6 เดือน (ม.ค.-มิ.ย.) 55 ได้แล้วกว่า 110,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ยังติดลบเล็กน้อย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

     ถ้าพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ แล้ว ก็เห็นจะจริงที่มูลค่าส่งออกปีนี้จะพลาดเป้า เพราะเศรษฐกิจตลาดหลักชะลอลงมาก ทั้งสหภาพยุโรป สหรัฐฯ ญี่ปุ่น โดยเฉพาะยุโรป ที่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้สาธารณะได้ และยังลุกลามมากขึ้น จนโหรเศรษฐกิจหลายสำนักคาดว่า เศรษฐกิจยุโรปจะชะลอลงอีก 3-5 ปี

 

     รวมถึงตลาดส่งออกที่มีศักยภาพของไทย อย่างจีน หรืออินเดีย ที่พึ่งพาการส่งออกไปทั้ง 3 ตลาดหลักมากจนทำให้การส่งออกมีปัญหา และนำเข้าวัตถุดิบจากไทยลดลง ขณะที่ผู้ส่งออกไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันจากคู่แข่งมากขึ้น เพราะประเทศผู้ส่งออกทุกประเทศมุ่งหน้าไปตลาดใหม่ๆ เช่นเดียวกับไทย ทดแทนการส่งออกไปตลาดหลักที่ถดถอย

 

     แต่เกิดคำถามในกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งในหมู่ผู้ส่งออกว่า เหตุใด นายกิตติรัตน์จึงออกมายอมรับในตอนนี้ ทั้งๆ ที่เป้าหมาย 15% ตนเป็นคนกำหนดเองในสมัยนั่งรองนายกรัฐมนตรีควบรมว.พาณิชย์ และคนพาณิชย์ไม่เห็นด้วย เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อฝ่ายนโยบายต้องการ ฝ่ายปฏิบัติต้องก้มหน้าทำงานเต็มที่ และร่วม โกหกสีขาวไปด้วยกัน

 

     ไม่รู้ใครจะได้ประโยชน์จากการยอมรับความจริงครั้งนี้ การที่ทุกคนรู้ว่า การส่งออกพลาดเป้าแล้วยังไงต่อ ใครๆ จะได้เลิกกดดันรัฐบาลอย่างนั้นหรือ? หรือการยอมรับแบบนี้เพราะ นายกิตติรัตน์รับไม่ได้ ถ้าท้ายที่สุดพลาดเป้าจริง แล้วนักลงทุน และผู้ส่งออก จะรุมประณามว่า รัฐบาลไร้ฝีมือทำงาน 

 

      หรือเพราะต้องการคำชมในความเป็น ลูกผู้ชายที่กล้ายอมรับความจริง ทั้งที่กระทรวงพาณิชย์ (น้ำท่วมปาก) ยืนกระต่ายขาเดียวตามฝ่ายนโยบายมาตั้งแต่ต้น เหมือน ฆ่ากันเองกลางสนามรบ ทำให้ตัวเองดูดี แต่คนอื่นเป็นคนโกหกอย่างนั้นหรือ?

 

     อย่างนี้แล้วความน่าเชื่อถือในตัวบุคคลระดับรองนายกรัฐมนตรี รมว.คลัง และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลยังมีอยู่หรือเปล่า ช่วยตอบทีเถอะ!

 

 

 

                                                                            ฟันนี่เอส

 

                                                           30 ส.ค.55

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ปลัดพาณิชย์หญิงคนแรก


















              ลุ้นกันอยู่นาน ในที่สุด คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้ผ่านความเห็นชอบแต่งตั้ง นางวัชรี วิมุกตายนอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นปลัดกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ ต่อจาก นายยรรยง พวงราชปลัดคนปัจจุบัน ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้



              ถือเป็นปลัดหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของกระทรวงพาณิชย์ หรือในรอบ 92 ปีนับตั้งแต่วันก่อตั้งเลยทีเดียว



              และยังถือว่าไม่เกินความคาดหมายสักเท่าไร แม้ชื่อนางวัชรีจะเป็นแคนดิเดตที่แผ่วมาตั้งแต่แรก แต่ก็มาแรงแซงทางโค้งในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนที่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ จะตัดสินใจเสนอชื่อนั่งตำแหน่งปลัด เข้าสู่การพิจารณาของครม.ในคืนวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา หลังจากถกเครียดกันอยู่นานหลายชั่วโมง



              เนื่องจากแคนดิเดตที่เหลืออยู่ล่าสุดเพียง 2 คน คือ นางวัชรี และนางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ มีจุดเด่น จุดด้อยแตกต่างกันไป โดยนางวัชรีถนัดเรื่องภายในประเทศ ส่วนนางศรีรัตน์ เดินสายงานด้านการค้า และการเจรจาการค้าระหว่างประเทศมาโดยตลอด



             แต่นโยบายของรัฐบาลขณะนี้คือ การแก้ปัญหาปากท้อง ลดค่าครองชีพประชาชน เพิ่มรายได้เกษตรกร เพื่อให้คนไทยทั้งประเทศมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น



               ดังนั้น ฝ่ายการเมืองจึงจำเป็นต้องเลือก นางวัชรี มาขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นงานที่รับผิดชอบของกรมการค้าภายในอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับปลัดกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ ที่มาจากกรมการค้าภายใน ที่จะขับเคลื่อนการทำงานของกระทรวงฯตามนโยบายของรัฐบาลให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย







            ซึ่งนางวัชรี ก็ไม่ได้ทำให้แฟนคลับผิดหวัง เพราะหลังจากมติครม.ออกแล้ว ได้แสดงวิสัยทัศน์ต่อสื่อมวลชนทันทีว่า งานเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการคือ ดูแลโครงการรับจำนำสินค้าเกษตร ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกร ลดการเอารัดเอาเปรียบ และลดปัญหาทุจริต



            กระทรวงพาณิชย์กำลังจัดทำแนวทางผลักดันภาคการเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่าในการส่งออก โดยเฉพาะข้าว ที่หลงผิดขายราคาต่ำมานาน ไทยไม่ใช่มูลนิธิขายข้าวราคาถูก แล้วทำให้ชาวนาในประเทศจนลง สินค้าเกษตรตัวอื่นๆ ก็เตรียมลดต้นทุนและผลักดันราคาให้สูงขึ้นเช่นกัน



             นี่ถือเป็นพันธะสัญญาที่เร่งดำเนินการให้สำเร็จ แต่ ฟันนี่เอสอยากให้ปรับรูปแบบการทำงานให้เร็วขึ้น เหมือนบริษัทเอกชน ไม่ใช่อืดเป็นเรือเกลือ จนต้องเข็น ต้องผลักกันจนเหนื่อยเหมือนที่ผ่านมา



             เห็นกันอยู่ว่า ในปีหน้า กระทรวงพาณิชย์ต้องทำงานหนักกว่าปีนี้ เพราะปัญหาสารพัดรุมเร้า ทั้งการขายข้าวในสต๊อกของรัฐบาล ที่มีอยู่ล้นหลาม การแก้ปัญหาการส่งออกที่ชะลอลง การเตรียมพร้อมประเทศไทย และคนไทยรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ฯลฯ



              ถ้ากระทรวงพาณิชย์ สามารถปรับการทำงานให้เร็วขึ้น ตามทันโลกที่เปลี่ยนแปลงโดยเร็วได้ การแก้ปัญหาต่างๆ และการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล จะมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่เยอะเลย เชื่อเหอะ!



 



                                                                                              ฟันนี่เอส



                                                                          23 ส.ค. 55

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

92 ปีกระทรวงพาณิชย์














   ทุกวันนี้ กระทรวงพาณิชย์ ถือว่ามีภารกิจเกือบจะหนักที่สุดในบรรดากระทรวงเศรษฐกิจทั้งหมด เพราะต้องเร่งแก้ปัญหาแบบครอบจักรวาล ทั้งปัญหาภายในประเทศ และปัญหาที่เกิดจากปัจจัยภายนอกประเทศ



   ไล่ตั้งแต่การแก้ปัญหาปากท้อง หรือลดค่าครองชีพประชาชน การยกระดับราคาสินค้าเกษตรเพิ่มรายได้เกษตรกร การส่งเสริมการค้าในประเทศ การเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการรองรับการแข่งขันจากการเปิดเสรี ไปจนถึงการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และการแก้ปัญหาข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศ







  ในปีนี้ภารกิจเด่นๆ ที่ดำเนินการไปแล้ว ในด้านลดค่าครองชีพ เช่น ขอความร่วมมือผู้ผลิตรสินค้าตรึงราคาขาย 4 เดือนตั้งแต่เดือนส.ค.-ก.ย.นี้ การจัดงานธงฟ้าราคาประหยัดทั่วประเทศรวมแล้วกว่าพันครั้ง การแก้ปัญหาพ่อค้าคนกลางตั้งราคาสินค้าสูงเกินจริง เอาเปรียบประชาชน ฯลฯ







   ส่วนการยกระดับรายได้เกษตรกร ได้ดำเนินโครงการรับจำนำสินค้าเกษตร ทั้งข้าวเปลือกนาปี-นาปรัง มันสำปะหลัง สับปะรด ซึ่งทำให้ราคาพืชเหล่านั้นสูงขึ้นมากกว่าราคาในช่วงก่อนรับจำนำ



   การเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการไทยรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 58 การเร่งรัดแก้ปัญหาส่งออกสินค้าไทยที่ชะลอลงจากปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เพราะผลกระทบจากปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป








   แม้การดำเนินการที่ว่ามานี้ บางอย่างประสบความสำเร็จด้วยดี และบางอย่างมีอุปสรรค หรือไม่สามารถดำเนินการได้ จนได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ไม่ดี และถูกโจมตีอย่างหนักว่าไร้ฝีมือในการแก้ปัญหา



   แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ภารกิจเหล่านี้มีส่วนทำให้คนไทยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาได้บ้าง ทำให้ผู้ประกอบการมีความเข้มแข็ง พร้อมรับกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปได้บ้าง และที่สำคัญ ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน







   หากนับวันเวลาที่ได้ทำหน้าที่ดังกล่าวจนถึงวันที่ 20 ส.ค.55 รวมแล้ว 92 ปีพอดี ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อฉลองโอกาสนี้ เช่น ร่วมกับห้างค้าปลีก-ค้าส่ง ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อ 13 แห่ง จัดกิจกรรม ธุรกิจรวมใจลดราคาสินค้าเพื่อประชาชน เนื่องในโอกาสวันพาณิชย์ (Commerce Day) ฉลอง 92 ปี กระทรวงพาณิชย์ โดยลดราคาสินค้า 5-70% ตั้งแต่วันที่ 17-22 ส.ค.นี้ แต่บางห้างฯจะลดราคาไปจนถึงวันที่ 26 ส.ค.  



   จัดงานมหกรรมสินค้าราคาพิเศษ วันพาณิชย์ เฉลิมพระเกียรติวันที่ 15-17 ส.ค.55 ที่กระทรวงพาณิชย์ จัดงานเมดอินไทยแลนด์ 2012 : พาณิชย์เทิดพระเกียรติเทิดไท้องค์ราชินี วันที่ 15-19 ส.ค.55 ที่อิมแพค เมืองทองธานี ส่วนวันที่ 20 ส.ค. จัดปาฐกถาพิเศษ จุดเปลี่ยนการค้าโลก : ไทยจะเดินอย่างไร โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศ เช่น นายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด)



                “ฟันนี่เอส” เชื่อว่า ก้าวต่อไปของกระทรวงพาณิชย์ จะหนักหนาสาหัสกว่าที่ผ่านมา เพราะยังมีความท้าทายรออยู่อีกมาก คงต้องรอดูฝีมือว่า กระทรวงพาณิชย์จะรับมืออย่างไร? และยังจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้อย่างมั่นคงอีกหรือไม่?



          ฟันนี่เอส

        16 ส.ค. 55

ธุรกิจเอาเปรียบที่สุดในโลก


















            ได้รับการร้องเรียนจากผู้อ่านหลายท่าน และการบอกเล่าจากเพื่อนๆ ว่า ไม่ได้รับความสะดวกในการทำเรื่องขอเข้าร่วมโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในปี 54 (ซอฟท์โลน) ของธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง


             เรื่องของเรื่องคือ หลังจากที่ส่งเอกสารคำขอเข้าร่วมโครงการ และหลักฐานต่างๆ ไปยังธนาคารแล้ว โดยเฉพาะส่งไปสำนักงานใหญ่ ผ่านไปเดือนครึ่งยังไม่ได้รับการติดต่อจากธนาคารเลย

             ทั้งที่ในใบแจ้งความประสงค์ขอเข้าร่วมโครงการ ระบุชัดเจนว่า ลูกค้าจะยินยอมให้ธนาคารตรวจสอบเอกสารหลักฐานไม่น้อยกว่า 15 วันทำการ


             พอโทรศัพท์กลับไปถามความคืบหน้า เจอหลายกรณีมาก ทั้งโทรศัพท์สายไม่ว่างบ้าง อาจเป็นเพราะมีลูกค้าโทร.เข้ามาสอบถามเหมือนกันจำนวนมาก ซึ่งถ้าเป็นกรณีที่ว่าจริง ก็ให้อภัยกันได้ แต่คนที่เล่าให้ฟังบอกว่า พยายามกดโทรศัพท์ทั้งวัน แบบว่าว่างเมื่อไรก็ต้องกดโทรศัพท์ ปรากฎว่า สายไม่ว่างเลย (เหมือนแกล้งยกหูโทรศัพท์ออก)


              หรือถ้าสายว่าง กลับไม่มีคนรับสาย ส่วนอีกเคส โทร.ไปโชคดีมีคนรับสาย แต่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย อ้างว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ประจำโต๊ะ เป็นแค่พนักงานฝึกหัดเท่านั้น พอถามว่า เจ้าหน้าที่หายไปไหนหมด ได้รับคำตอบว่า ออกไปหาลูกค้าข้างนอกหมด ทำให้คนที่โทร.ไปได้แต่สงสัยว่า แล้วลูกค้าเก่าไม่ยินดีให้บริการเลยหรือไร จึงได้แต่บอกให้ปลายสายรับเรื่องไว้ให้ แล้วแจ้งให้เจ้าหน้าที่ประจำโต๊ะโทร.กลับมาหาด้วย แต่ผ่านไปหลายวันก็ยังไม่มีใครโทร.กลับมาแจ้งความคืบหน้าใดๆ เสียที


             หรือถ้ามีเจ้าหน้าที่โทร.กลับมา ก็เป็นแบบเอกสารของลูกค้ายังมาไม่ถึง ไม่รู้ว่าไปตกหล่นอยู่ที่ไหน ธนาคารขอเวลาหาเอกสารก่อน แล้วจะโทร.กลับมาแจ้งความคืบหน้าอีกครั้ง (ทั้งๆ ที่เวลาผ่านไปเดือนกว่าเนี่ยนะ)








              ถ้า ฟันนี่เอสเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า คงพูดได้คำเดียวว่า เซ็งสุดๆ” (เป็นลูกค้าเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์เหมือนกัน) เพราะหัวอกของลูกค้าเงินกู้ ที่ต้องการลดดอกเบี้ยเงินกู้จากปัจจุบันที่กว่า 7% ให้เหลือ 3% นาน 5 ปี ตามเงื่อนไขของโครงการซอฟท์โลนครั้งนี้


             เมื่อส่งเอกสารคำขอไปแล้ว ก็ได้แต่นั่งนับวันรอว่าเมื่อไรจะได้รับการติดต่อจากธนาคาร เมื่อไรจะได้รับการอนุมัติ เพราะยิ่งอนุมัติเร็วเท่าไร ก็จะประหยัดเงินที่จะต้องจ่ายเป็นดอกเบี้ยให้แบงก์มากขึ้นเท่านั้น


             แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง แล้วไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองด้วยว่า จะได้รับการอนุมัติหรือไม่ เพื่อนคนหนึ่งจึงต้องใช้ อภิสิทธิ์ขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ ซึ่งไม่ถึง 10 นาทีหลังจากการโทร.ขอความช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่ระดับผู้จัดการก็โทร.กลับมาหา โดยแสดงความยินดีที่จะช่วยเหลือ และอำนวยความสะดวกให้อย่างเต็มที่            


              ฟันนี่เอสไม่เข้าใจว่า ทำไมธนาคารจึงปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ผู้บริหารจะรู้หรือไม่ว่า ลูกน้องทำงานกันแบบไม่เหลียวแลใยดีลูกค้าเก่าเลย แต่กลับขวนขวายหาลูกค้าใหม่ เพื่อทำยอดให้ได้ตามเป้าหมาย!!


             แล้ววันหนึ่ง เมื่อลูกค้าใหม่เหล่านั้นกลายเป็นลูกค้าเก่า ก็จะถูกกระทำเช่นเดียวกันนี้อีก นี่ยังไม่รวมพฤติกรรมอื่นๆ ที่ธนาคารทั้งหลายใช้กับประชาชน เพื่อดึงดูดให้เป็นลูกค้า แล้วสุดท้ายก็เหมือนกับการ หลอกลวงประชาชน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ลูกค้าเหล่านั้นจะเสื่อมศรัทธาในตัวธนาคารมากเพียงไร

             อยากให้ผู้บริหารระดับสูงของแต่ละแบงก์ ดูแลสิ่งเหล่านี้บ้าง ก่อนที่ประชาชนจะหมดศรัทธากับธุรกิจธนาคาร ที่ปัจจุบันกลายเป็นธุรกิจที่เห็นแก่ได้ และเอาเปรียบประชาชนมากที่สุดในโลก





                                                ฟันนี่เอส

                                              9 ส.ค. 55