วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ภัยแล้งสหรัฐฯกระเทือนไทย





 




          ขณะนี้ เกษตรกรของสหรัฐฯกำลังถูกภัยแล้งคุกคามอย่างหนัก และกินวงกว้างมากกว่าครึ่งหนึ่งประเทศแล้ว ไล่ตั้งแต่ภาคตะวันตกไปจนเกือบจะถึงตะวันออกของประเทศ และตั้งแต่ภาคใต้ขึ้นไปจนเกือบจรดภาคเหนือ ถือเป็นภัยแล้งที่รุนแรงที่สุดในรอบ 25 ปี



          จากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก ได้รายงานว่า ล่าสุด กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้ประกาศให้พื้นที่ 1,369 เขตใน 31 รัฐ เป็นเขตวิกฤติภัยธรรมชาติ และในจำนวนนี้เป็นพื้นที่วิกฤติภัยแล้งมากถึงเกือบ 1,320 เขต



          โดยตั้งแต่เดือนก.ค. 55 เป็นต้นมา ฟาร์มปศุสัตว์ในสหรัฐฯ 62% ประสบปัญหาภัยแล้งแล้ว แบ่งเป็น 29% อยู่ในเขตพื้นที่ภัยแล้งระดับกลาง, 24% อยู่ในเขตภัยแล้งรุนแรง และอีก 9% อยู่ในเขตภัยแล้งรุนแรงสูงสุด





          สร้างความเสียหายต่อภาคเกษตร และปศุสัตว์อย่างหนักหนาสาหัส โดยเฉพาะการเพาะปลูกข้าวโพด ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง รวมถึงการเลี้ยงวัว หมู สัตว์ปีก และผลิตภัณฑ์ อย่างนมวัว ซีเรียล แป้ง

         เพราะในเดือนก.ค. ผลผลิตข้าวโพด และพืชอื่นๆ ของสหรัฐฯเริ่มออกผล และบางส่วนใกล้เก็บเกี่ยว แต่กลับเสียหายจำนวนมาก ซึ่งประมาณ 2 ใน 3 ของพืชเกษตร และ 2 ใน 3 ของปศุสัตว์เป็นผลผลิตในพื้นที่ที่กำลังประสบภัยแล้งในระดับกลาง



         ส่วน 44% ของผลผลิตเนื้อสัตว์ และ 40% ของผลผลิตข้าวโพดและถั่วเหลืองอยู่ในเขตภัยแล้งรุนแรง จึงเลี่ยงไม่ได้เลย ที่ราคาพืชผล รวมถึงราคาอาหารสัตว์ ราคาเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จะขยับสูงขึ้น





         ล่าสุดราคาข้าวโพด และถั่วเหลืองในสหรัฐฯได้ปรับตัวขึ้นแล้ว ส่วนราคาเนื้อหมู เนื้อวัว สัตว์ปีก และผลิตภัณฑ์นม โดยเฉพาะน้ำนมสด คาดจะปรับขึ้นในอีก 2 เดือน ขณะที่อาหารแปรรูปจากข้าวโพด เช่น ซีเรียล แป้ง ราคาจะขยับขึ้นในอีก 10-12 เดือน ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า



         แน่นอนว่า ผลกระทบเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในสหรัฐฯเท่านั้น แต่ประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รวมทั้งไทย ที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าพืชทั้ง 2 ชนิดจากสหรัฐฯจำนวนมากในแต่ละปี จะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน



          เนื่องจากสหรัฐฯเป็นผู้ส่งออกข้าวโพด และถั่วเหลือง รายใหญ่ของโลก และราคาสินค้าดังกล่าวของสหรัฐฯยังเป็นราคาอ้างอิงที่ใช้ซื้อขายไปทั่วโลก



         ดังนั้น ในเร็วๆ นี้ คนไทยจะได้เห็นราคาอาหารสัตว์ ที่ใช้ทั้งข้าวโพด ถั่วเหลือง และกากถั่วเหลือง เป็นวัตถุดิบหลัก ต้องปรับขึ้นตามราคาตลาดโลก ซึ่งจะมีผลให้ราคาเนื้อสัตว์ต้องปรับขึ้นตามเป็นลูกโซ่






          สอดคล้องกับความเห็นของสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ที่ระบุว่า ขณะนี้ราคาถั่วเหลืองเพิ่มขึ้นแล้ว 50% ส่วนข้าวโพดเพิ่มแล้ว 20% ถ้าในอีก 2-3 เดือนราคายังสูงต่อเนื่อง คาดว่าในเดือนต.ค.นี้ ผู้ผลิตและผู้ค้าอาหารสัตว์จะปรับขึ้นราคาขายอย่างแน่นอน



          เฮ้อ! เกิดเป็นคนไทยเหนื่อยแสนเหนื่อย ข้าวของในประเทศแพงยังไม่พอ ยังจะต้องก้มหน้ารับกรรมที่เกิดขึ้นจากปัญหาของประเทศอื่นอีก เห็นทีคนไทยคงต้องกินของแพงกันต่ออย่างไม่รู้จบแน่ๆ ถ้าไม่เชื่อลองถามกระทรวงพาณิชย์ดูก็ได้



 



                                                                 ฟันนี่เอส



                                                  2 ส.ค. 55

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น