วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

อย่าดีแต่พูด




                                                                                                                           
                                                                 
            ท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีสุดหล่อ ขวัญใจแม่ยกทั่วประเทศ ทราบไหมว่า วันนี้ราคาไข่ไก่ และเนื้อหมู อาหารโปรตีนพื้นฐานที่ทุกครัวเรือนต้องมีไว้ประจำบ้าน ปรับขึ้นไปกี่บาทแล้ว

   เฉลยก็ได้ว่า ราคาไข่ไก่เบอร์ 3 (ขนาดเล็ก) ตามตลาดสดเขาขายกันที่ฟองละ 3.10 บาทแล้ว จากเดือนม.ค.ที่ฟองละ 2.90 บาทเท่านั้น ส่วนเนื้อหมูก็พุ่งไปถึงก.ก.ละ  115-120 บาท บางตลาดทะลุ 130 บาทเข้าไปแล้ว

   สาเหตุเพราะวัตถุดิบอาหารสัตว์หลักๆ ทั้งข้าวโพด ถั่วเหลือง รำข้าว ปลายข้าว ปรับขึ้นราคากันหมดประมาณ 5% และยังมีแนวโน้มราคาในตลาดโลกจะสูงขึ้นไปอีก จากปัญหาโลกร้อน ทำให้ผลผลิตลดลง แต่ความต้องการใช้สูงขึ้น ประกอบกับ เกิดโรคระบาดทั้งในไก่ไข่ และหมู ทำให้ผลผลิตลดลงมาก

  จึงทำให้ราคาทั้งไข่ไก่ และเนื้อหมูปรับสูงขึ้นมาก และยังจะมีแนวโน้มสูงขึ้นอีกเรื่อยๆ แม้รัฐพยายามเดินหน้าไอเดียสุดบรรเจิด “ขายไข่ไก่ชั่งกิโล” ลดภาระค่าครองชีพ โดยอ้างว่า การชั่งกิโล จะทำให้ราคาไข่ไก่ลดลงได้ จากการไม่ต้องเสียค่าคัดแยกไข่ตามขนาด หรือเบอร์เหมือนปัจจุบัน

  แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ราคาไข่ไก่ลดลงได้อย่างปากพูด !!

  สวนทางกับ โครงการประชาวิวัฒน์ ที่รัฐบาลให้คำมั่นสัญญาว่า จะดูแลราคาสินค้าเนื้อหมู ไข่ไก่ ทั้งระบบ รวมถึงลดต้นทุนด้านการเกษตรให้เกษตรกร

  ชี้ให้เห็นว่า โครงการประชาวิวัฒน์ เฉพาะในเรื่องการลดต้นทุนเกษตรกร ไม่ประสบผลสำเร็จตามประสงค์ เพราะรัฐยังจะไม่มีมาตรการใดๆ ในการช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกรเลยแม้แต่มาตรการเดียว

  เพราะถ้าทำไปแล้ว และทำได้จริง ราคาสินค้าเกษตรหลายรายการคงจะปรับลดลงบ้างแล้ว

 วันนี้ ยังเห็นเกษตรกรไทย แบกรับภาระต้นทุนการผลิต ที่สูงโด่งเกินหน้าเกษตรกรประเทศอื่นๆ ทั้งต้นทุนด้านปัจจัยการเกษตร เช่น ปุ๋ยเคมี ยาจำกัดศัตรูพืช วัตถุดิบอาหารสัตว์ และต้นทุนการบริหารจัดการอื่นๆ เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา

 ส่วนการเข้าถึงพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์สัตว์ ที่รัฐบาลลั่นวาจาไว้ว่า จะทำให้เข้าถึงง่ายขึ้นนั้น วันนี้ก็ยังเห็นเกษตรกรไม่มีโอกาสเลือกซื้อได้เองอย่างอิสระ เพราะถูกบังคับให้ซื้อจากบริษัทใหญ่ๆ อยู่ดี

 ยอมรับว่า เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่แก้ปัญหาได้ยากยิ่ง เพราะเกี่ยวพันกับผลประโยชน์มหาศาลของผู้ประกอบการจำนวนมาก และไม่แน่ใจว่า รัฐบาลจะแข็งพอที่จะต่อกรกับบุคคลเหล่านี้ได้หรือไม่

 แต่ “ฟันนี่เอส” อยากเห็นพันธะสัญญา ที่รัฐบาลให้ไว้กับประชาชน เกิดขึ้นอย่างจริงจัง และประสบผลสำเร็จอย่างแท้จริง ไม่ได้เป็นคำพูดเพ้อเจ้อ และไม่ได้เป็นการขายฝันเพื่อหวังเสียงสนับสนุนจากประชาชน ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

 เพื่อทำให้งบประมาณแผ่นดินที่หมดไปกับโครงการนี้ ไม่สูญเปล่า

 และสำคัญที่สุด เพื่อให้เกษตรกรไทย ที่แร้นแค้นแสนเข็ญที่สุด มีโอกาสอยู่ดีกินดีเหมือนประชากรกลุ่มอื่นในสังคมไทย ไม่ใช่ยังเป็นกลุ่มคนจนดักดาน ชั่วลูกชั่วหลาน

                                                        
                                            ฟันนี่เอส


                                                                                17 ก.พ.54

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น