วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554

ปาล์มยังป่วนไม่จบ

 
                                                                                                      
                จนถึงวันนี้ รัฐบาลยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มบรรจุขวด (ลิตร) ราคาแพงได้อย่างเด็ดขาด แม้กระทรวงพาณิชย์อนุมัติขึ้นราคาเพดาน (ราคาขายสูงสุด) อีกขวดละ 9 บาท มาอยู่ที่ขวดละ 47 บาทจากเดิม 38 บาท ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา
                ทั้งที่ตามนโยบายของนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์แล้ว ต้องการอนุมัติให้ขึ้นเพียงขวดละ 7 บาทมาอยู่ที่ 45 บาทเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่า กรมการค้าภายใน ต่อรองกับผู้ประกอบการท่าไหน ถึงออกมาที่ 9 บาทได้ ทำเอารมว.พรทิวา ควันออกหูอยู่พักนึง แต่เมื่อให้ขึ้นแล้วก็ต้องเลยตามเลย
               ซึ่งตามความรู้สึกของประชาชน การให้ขึ้นราคาครั้งเดียวถึง 9 บาท ถือว่าสูงมาก และเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนหาเช้ากินไม่ถึงค่ำมากเหลือเกิน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับราคาตลาดที่ขายอยู่ก่อนหน้านี้ที่ขวดละ 48-50 บาทแล้ว ทำให้เห็นว่า การขึ้นราคาของกระทรวงพาณิชย์ดูดีขึ้นมาทันตา หากสามารถทำให้ผู้ค้าขายไม่เกิน 47 บาทได้จริง
              แต่เอาเข้าจริง กระทรวงพาณิชย์กลับคุมราคาไม่ได้เลย!
              โดยให้เหตุผลว่า สาเหตุที่ราคายังแพงอยู่ เพราะสินค้าที่มีขายในท้องตลาดขณะนี้ ผลิตขึ้นในช่วงที่ผลปาล์มสดขาดแคลนอย่างหนัก แต่ความต้องการเพิ่มขึ้น ทั้งเพื่อบริโภค และผลิตพลังงานทดแทน ราคาจึงแพงมาก ต้นทุนน้ำมันปาล์มดิบกิโลกรัมละกว่า 38 บาทแล้ว เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าการกลั่น ค่าการบรรจุขวด ค่าขวด อีกประมาณ 10 บาทแล้ว จะขายตามราคาเพดานได้อย่างไร ขาดทุนป่นปี้แน่!
     โดยเฉพาะผู้ค้าตามร้านโชห่วย หรือร้านค้าเล็กๆ ในตลาดสด ที่กว่าจะได้สินค้ามาขายก็มีการขายต่อกันมาไม่รู้กี่ทอดต่อกี่ทอดด้วยแล้ว ยิ่งขายไม่ได้ใหญ่ เพราะผู้ค้าในแต่ละทอดต้องบวกกำไรเข้าไปอีก จึงแนะนำให้ร้านค้าเล็กๆ หยุดรับน้ำมันปาล์มขวดมาขายสักพัก จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
               ฟันนี่เอส” เห็นว่า เรื่องวุ่นวายของปาล์มน้ำมัน ที่จริงแล้ว น่าเห็นใจทุกฝ่าย ไล่เรียงมาตั้งแต่โรงสกัดน้ำมันจากผลปาล์มสดเป็นน้ำมันดิบ โรงกลั่นน้ำมันดิบเป็นน้ำมันบริโภค  และผู้บริโภค  ที่ต้องมีต้นทุนการผลิต และค่าใช้จ่ายในการบริโภคเพิ่มขึ้น รวมถึงกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องบาลานซ์น้ำหนักความเป็นธรรมให้กับทั้งผู้ประกอบการ และประชาชน
     แต่ในเรื่องการควบคุมราคา กระทรวงพาณิชย์น่าจะทำอะไรได้ดีกว่านี้ โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายราคาสินค้าและบริการพ.ศ.2542 ที่ระบุชัดว่า ผู้ใดที่ทำให้สถานการณ์ราคาสินค้าปั่นป่วน หรือกักตุน จะมีความผิด โดยมีโทษปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
    เมื่อพบเห็นผู้ค้าทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง และให้หลาบจำ ไม่ทำผิดซ้ำอีก ทั้งที่มีอำนาจในมือแต่แทบไม่ทำอะไรเลย การบังคับใช้กฎหมายต้อง “เชือดไก่ให้ลิงดู” ไม่เช่นนั้น คนทำผิดจะเกรงกลัวกฎหมายได้อย่างไร
   สุดท้ายนี้ “ฟันนี่เอส” ขอให้การคาดการณ์ของกระทรวงพาณิชย์เป็นผลสำเร็จ ที่หวังจะเห็น สถานการณ์คลี่คลายลงได้ปลายเดือนม.ค.นี้ หลังนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศ 30,000 ตัน และสถานการณ์ จะกลับสู่ภาวะปกติในเดือนมี.ค.นี้ หลังผลผลิตปาล์มสดออกสู่ท้องตลาดแล้ว พร้อมกับความคาดหวังที่จะได้เห็นราคาน้ำมันปาล์มขวดปรับลดลงได้อีกครั้ง!!
  แต่ระยะยาว อยากให้รัฐบาลมีมาตรการที่มีประสิทธิภาพรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นอีก เพราะไม่อยากตกอยู่ในวังวนของปัญหาเดิมๆ อีกแล้ว

                                                                    ฟันนี่เอส
                                                                                             กระจก หน้า8  13 ม.ค.54
  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น