วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ชะตากรรมข้าวไทย!









            ท่านผู้อ่านที่รักทราบหรือไม่รู้ว่า ข้าวชนิดใดอร่อยที่สุดในโลก?

    ถ้าเป็นคนไทยคงต้องบอก “ข้าวหอมมะลิไทย” ที่มีกลิ่นหอมเหมือนใบเตย เวลารับประทานจะรู้สึกได้ถึงความเหนียว นุ่ม อร่อย จึงเป็นข้าวที่ครองใจคนไทยทั้งประเทศ รวมถึงคนชาติอื่นๆ ทั่วโลก

            แต่ “ฟันนี่เอส” ไม่แน่ใจว่า รสนิยมคนทั่วโลกจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ หลังจากที่เมื่อกลางเดือนต.ค.ที่ผ่านมา Rice Trader องค์การที่ปรึกษาข้าวระดับโลก ผู้จัดงานประชุมข้าวโลก และงานประกวดสุดยอดข้าวครั้งที่ 3 ที่เมืองโฮจิมินห์ ซิตี้ ประเทศเวียดนาม





   ได้ประกาศให้ข้าว “Pearl Paw San” ของพม่า เป็นข้าวที่มีคุณภาพดี และอร่อยที่สุดในโลก ตัดหน้าข้าวหอมมะลิไทย ที่เคยครองตำแหน่งนี้มาแล้ว 2 ปีซ้อน

   เพราะเมื่อหุงแล้วจะขึ้นหม้อ แม้จะมีความยาวเมล็ดเพียง 5-5.5 มิลลิเมตร แต่ขยายตัวได้มากกว่าเดิม 3-4 เท่า ทำให้มีความนุ่มแน่น และสามารถรักษากลิ่นหอมเฉพาะไว้ได้

   “ฟันนี่เอส” หวั่นใจว่า เมื่อพม่าเพาะปลูกมากขึ้น และส่งออกเจาะฐานลูกค้าข้าวหอมมะลิ หรือข้าวขาวไทยมากขึ้นแล้ว ก็อาจแย่งส่วนแบ่งตลาดข้าวไทยได้มาก แม้จะไม่ใช่วันนี้ พรุ่งนี้ แต่ 2-3 ปีนับจากนี้ คงกลายเป็นอีกหนึ่งคู่แข่งที่น่ากลัวของไทย ต่อจากเวียดนาม อินเดีย และจีนแน่นอน





   ไม่เพียงแค่นั้น ไทยยังมีคู่แข่งข้าวหอมมะลิที่น่ากลัวอย่างสหรัฐฯอีก เพราะเมื่อ 3 ปีที่แล้วได้ทำตลาดข้าวพันธุ์ใหม่ ที่พัฒนาสายพันธุ์ข้าวจากจีน และข้าวรัฐอาร์คันซอส์นาน 12 ปี เพื่อแข่งกับข้าวหอมมะลิไทย จนได้เป็นข้าวแจซแมน (Jazzman Rice) วางขายทั่วสหรัฐฯ และส่งออกไปฮ่องกง ลูกค้าสำคัญข้าวหอมมะลิไทย

  และล่าสุดได้มีการพัฒนาข้าวแจซแมนให้ดียิ่งขึ้นเป็น “ข้าวแจซแมน 2” มีคุณสมบัติใกล้เคียงข้าวหอมมะลิมากสุด เพราะมีกลิ่นหอม และความเหนียวนุ่มมากขึ้น ขณะนี้มีการขายเมล็ดพันธุ์ให้ชาวนาสหรัฐฯปลูกมากขึ้นแล้ว จึงเดาได้เลยว่า ข้าวแจซแมน 2 จะแย่งตลาดข้าวหอมมะลิไทยได้แน่นอน

  นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมอาหารเวียดนาม ได้ประกาศว่า สามารถครองตลาดข้าวในจีน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และฮ่องกง ซึ่งเป็นตลาดข้าวสำคัญของไทยได้แล้ว เพราะราคาที่ต่ำกว่าข้าวไทยมาก อีกทั้งรัฐบาลเวียดนามจูงใจให้ชาวนาปลูกข้าวหอม คุณภาพดีมากขึ้น เพื่อแข่งกับข้าวหอมมะลิ

  เหล่านี้คือวิบากกรรมที่ข้าวไทยจะต้องเผชิญ ซึ่งคงทำให้เห็นอนาคตข้าวไทยในตลาดโลกได้แล้วว่าจะเป็นอย่างไร รัฐบาลและผู้ส่งออกยังจะดีใจกับการเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 เฉลี่ยปีละ 9-10 ล้านตันอีกนานแค่ไหน เพราะคู่แข่งหายใจลดต้นคออยู่





  จึงเป็นหน้าที่หนักของรัฐบาลที่จะช่วยชาวนา และผู้ส่งออกถีบตัวหนีคู่แข่ง “ฟันนี่เอส” คงไม่ต้องชี้แจงว่าต้องทำอะไร เพราะรู้อยู่แล้ว แต่ไม่เคยทำ ทั้งการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีคุณภาพดีขึ้น มีคุณสมบัติพิเศษกว่าข้าวในตลาด เพิ่มผลผลิตต่อไร่ เป็นต้น

    ถ้ารัฐบาลยังนิ่งเฉย มัวแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ ไม่วางแผนพัฒนาระยะยาว ข้าวไทยคงถึงจุดจบเข้าสักวัน!


ฟันนี่เอส

10 พ.ย. 54

(ขออภัยบทความย้อนหลัง เนื่องมาจากภาวะน้ำท่วม)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น