วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ประกันภัยพิบัติ!














            โลกเราทุกวันนี้ อยู่ยากขึ้นทุกที! ตั้งแต่เกิดสภาวะโลกร้อน โลกก็วิปริตผิดธรรมชาติ สภาพอากาศแปรปรวน เกิดภัยพิบัติมากมาย ซึ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และสร้างความเสียหายให้กับผู้คนเหลือคณานับ

            อย่างในบ้านเราตอนนี้เกิดน้ำท่วม แม้จะไม่ได้เป็นภัยพิบัติเหมือนน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 54 แต่ก็มากผิดปกติ สร้างความเสียหายให้กับผู้คนในเกือบ 30 จังหวัดทั่วประเทศ ผู้คนเดือดร้อนนับล้านคน เพราะทั้งบ้านเรือน เลือกสวนไร่นา บริษัทห้างร้าน โกดังเก็บสินค้า รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมเสียหาย













            จังหวัดที่ถูกภัยน้ำท่วมเล่นงานทุกปี หนีไม่พ้นพื้นที่ราบลุ่มภาคกลาง ส่งผลให้ทั้งประชาชน และนักธุรกิจในพื้นที่นี้ รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ที่มีความเสี่ยง เร่งซื้อประกันภัยพิบัติ เพื่อรับความคุ้มครองความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากภัยน้ำท่วม พายุ รวมไปถึงแผ่นดินไหว


            “คุณพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผลประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ระบุว่า ตั้งแต่เริ่มเปิดขายกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติวันที่ 28 มี.ค.55จนถึงวันที่ 20 ก.ย.56 มียอดจำหน่ายแล้ว 1.67  ล้านฉบับ เป็นกรมธรรม์ที่ยังมีความคุ้มครอง 1.4 ล้านฉบับ คิดเป็นทุนประกันภัยพิบัติ 87,600 ล้านบาท







            ส่วน 5 จังหวัดในพื้นที่เสี่ยงบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นครปฐม นนทบุรี และกรุงเทพฯ ตื่นตัวซื้อประกันภัยพิบัติกันมาก โดยมีทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ 21,757 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 48.65% ของทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ ทั้งประเทศที่ 44,719 ล้านบาท


              โดยกรุงเทพฯ มีทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯสูงสุดที่ 13,793 ล้านบาท รองลงมาคือ นนทบุรี 2,650 ล้านบาท ตามด้วยปทุมธานี 2,492 ล้านบาท พระนครศรีอยุธยา 1,949 ล้านบาท และนครปฐม 874 ล้านบาท

           สำหรับกรุงเทพฯ มีทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ ในส่วนของผู้ทำประกันภัยทั้ง 3 ประเภทสูงที่สุดในบรรดา 5 จังหวัด ได้แก่ บ้านอยู่อาศัย 9,727 ล้านบาท ธุรกิจขนาดกลางและย่อม 1,796 ล้านบาท และอุตสาหกรรม 2,270 ล้านบาท

              ขณะที่นนทบุรี มีทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ ประเภทบ้านอยู่อาศัยสูงเป็นอันดับ 2 ที่ 2,217 ล้านบาท ปทุมธานี มีทุนประกันภัยต่อฯ ประเภทธุรกิจขนาดกลางและย่อมสูงเป็นอันดับ 2 ที่ 356 ล้านบาท และอยุธยา มีทุนประกันภัยต่อฯ ประเภทอุตสาหกรรมสูงเป็นอันดับ 2 ที่ 1,499 ล้านบาท







             คุณพยุงศักดิ์ ระบุต่อว่า การสร้างหลักประกันเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินเมื่อประสบภัยพิบัตินั้น นอกจากจะช่วยเหลือประชาชน และเจ้าของกิจการที่แล้ว ยังสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจไทย และทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่ถอนสมอทิ้งไทยไปลงทุนประเทศอื่น

          ฟันนี่เอสเชื่อแน่ว่า ในอนาคต ประชาชน และนักธุรกิจ จะซื้อประกันภัยพิบัติเพิ่มขึ้น เพราะเมืองไทย เสี่ยงที่จะเกิดภัยพิบัติใหญ่ๆ ตลอดเวลา โดยเฉพาะน้ำท่วม ที่นับจากนี้ปริมาณน้ำในโลกน่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

              เพราะน้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วมาก ปริมาณน้ำไม่ไปไหน วนเวียนอยู่ในโลก และไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ดังนั้น จังหวัดในพื้นที่ราบลุ่มปากแม่น้ำคงต้องหาซื้อเรือ ซื้อแพมาอยู่อาศัยแทนบ้านในไม่ช้านี้ หรือคงต้องซื้อกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติเพื่อรับความคุ้มครองความเสียหายกันแล้ว

              เว้นเสียแต่ว่า โครงการลงทุนบริหารจัดการน้ำ 350,000 ล้านบาทของรัฐบาลสัมฤทธิ์ผล และป้องกันน้ำท่วมใหญ่ได้ชะงัดนัก!!!

                                                                                 
                                                                                                  ฟันนี่เอส

                                                               24
ต.ค.56

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น