วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เดินหน้าเอฟทีเอไทย-อียู


                                                           






           วันที่ 4-6 มี.ค.นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย และคณะจะเดินทางไปเยือนราชอาณาจักรเบลเยี่ยม สำนักงานใหญ่ของสหภาพยุโรป (อียู) อย่างเป็นทางการ โดยผู้นำของไทย และอียูมีกำหนดการสำคัญที่ทั่วโลกจับตามองคือ

           การประกาศความสำเร็จการที่อียูรับขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ของไทย ซึ่งจะทำให้ข้าวดังกล่าวของไทยกลายเป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยม ที่มีราคาสูงขึ้น

           ขณะเดียวกัน จะการประกาศเปิดเจรจาจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-อียูอย่างเป็นทางการ หลังจากการเจรจาเอฟทีเออาเซียน-อียูได้ยุติลงชั่วคราวในปี 52 เพราะทั้งอาเซียน และอียูไม่สามารถหาข้อยุติในประเด็นที่ขัดแย้งกันได้ โดยเฉพาะปัญหาระหว่างประเทศของอียูในเรื่องการยอมรับพม่า

           การเจรจาครั้งนี้ กำหนดกรอบเจรจาครอบคลุมทุกด้าน ทั้งการเปิดเสรีด้านการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน ซึ่งรัฐบาลมองว่า ไทยจะได้ประโยชน์ในภาพรวมมากกว่าผลเสีย เพราะจะเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านการค้า และการลงทุนของไทยในอียู ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบ สามารถขอรับความช่วยเหลือได้จากกองทุนเอฟทีเอของรัฐบาลได้

โดยไทยตั้งเป้าหมายจะดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว หรือให้เสร็จก่อนวันที่ 1 ม.ค.58 ที่อียูจะตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ที่ให้กับสินค้าไทย เพราะทั้งรัฐบาล และภาคเอกชน มองว่า เอฟทีเอไทย-อียู ที่มีการลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกัน จะช่วยชดเชยความเสียหายของไทยหลังจากอียูตัดจีเอสพีได้







แต่แม้รัฐบาล และเอกชน ยืนยันมาโดยตลอดว่า เอฟทีเอนี้จะเป็นประโยชน์มากกว่าเสีย แต่ภาคประชาสังคม และเอ็นจีโอ กลับเห็นต่างโดยสิ้นเชิง และยังมีข้อกังวลที่สุดถึง 3 ประเด็นคือ การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา, สินค้าแอลกอฮอล์และยาสูบ และการลงทุน

เพราะอียูต้องการเรียกร้องให้ไทยขยายเวลาคุ้มครองสิทธิบัตรที่จดทะเบียนในไทยเพิ่มเป็น 25 ปี โดยเฉพาะสิทธิบัตรยา ที่ตามกฎหมายสิทธิบัตร และความตกลงทรัพย์สินทางปัญญา ภายใต้องค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) ที่ไทยผูกพันไว้ จะให้ความคุ้มครองเพียง 20 ปีเท่านั้น







หากไทยยอม อียูจะผูกขาดยาได้เพิ่มขึ้นอีก 5 ปี และไทยเข้าถึงยาราคาถูกได้ยากขึ้นและยาวนานขึ้นอีก 5 ปี กระทบต่อระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะการบริหารจัดการยาและเวชภัณฑ์ของภาครัฐ กระทบต่อชีวิตและสุขภาพคนไทย รวมถึงกระทบต่อทรัพยากรชีวภาพ และการผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืชด้วย

นอกจากนี้ จะมีการนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบจากอียูมากขึ้น  กระทบต่อสุขภาพคนไทย ส่วนประเด็นการคุ้มครองการลงทุน ที่เปิดโอกาสให้อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐกับเอกชนได้นั้น จะทำให้ไทยเสียเอกสิทธิ์แห่งรัฐ และเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติฟ้องร้องค่าเสียหายได้







           อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยตระหนักดีถึงความกังวลต่างๆ และยืนยันว่า จะเจรจาอย่างรอบคอบที่สุด เพื่อให้ไทยได้ประโยชน์มากที่สุด และจะไม่ยอมทำข้อตกลงใดๆ ที่เกินกว่าที่ได้ตกลงไว้แล้วในข้อตกลงต่างๆ ภายใต้ดับบลิวทีโอ โดยเฉพาะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เกินไปกว่าความตกลงทริปส์
(ทริปส์พลัส)

ที่สำคัญ กรมทรัพย์สินทางปัญญา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้หาทางออกไว้แล้ว และมั่นใจว่า จะนำมาใช้ต่อรองกับอียูอย่างไม่เสียเปรียบได้แน่นอน


ฟันนี่เอส



                                                                       21 ก.พ.56

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น