วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เปิดเสรีประกันภัย : คิดให้ดีกว่านี้





              ยอมรับตามตรงว่า การที่นายพฤฒิชัย วิริยะโรจน์ ผู้แทนทางการค้าไทย (ทีทีอาร์) ลั่นวาจาจะเสนอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พิจารณาเปิดเสรีธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย หากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ไม่มีคำตอบภายในวันที่ 17 ต.ค.นี้ ว่าบังคับให้บริษัทประกันชีวิตลดค่าเบี้ยประกันชีวิตลงมาได้นั้น




  เป็นสิ่งที่น่าหวั่นเกรงอย่างยิ่งสำหรับวงการธุรกิจประกันของไทย!!

             เพราะการเปิดเสรี ที่หมายถึงการอนุญาตให้ผู้ประกอบการธุรกิจประกันภัยต่างประเทศ ที่มีเงินทุนหนา และองค์ความรู้ที่ก้าวหน้า ล้ำสมัย เข้ามาทำธุรกิจแข่งขันกับคนไทย ทั้งที่ยังไม่มีความพร้อมในการแข่งขัน เพราะขาดทั้งเงินทุน และเทคโนโลยี  จะนำมาซึ่งความเสียเปรียบอย่างมาก

              ลำพังการแข่งขันกับคนไทยด้วยกันเองยังแย่ มีหลายบริษัทที่ยังลุ่มๆ ดอนๆ ถ้ายิ่งมาแข่งกับบริษัทต่างชาติ ก็อาจถึงขั้นกิจการล้มละลายแบบตายไม่ได้เกิดใหม่แน่นอน

              เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องอ่อนไหวมากสำหรับประเทศไทย ซึ่งคนในวงการประกันภัย รวมถึงข้าราชการที่เป็นนักเจรจาต่อรองต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ เพราะในการเปิดการค้าเสรีกรอบต่างๆ ประเทศคู่เจรจาต่างรุกหนักให้ไทยเปิดเสรีธุรกิจการเงิน-ประกันภัย

  เนื่องจากเห็นถึงความอ่อนแอของผู้ประกอบการไทย และเห็นถึงความแข็งแกร่งของเขาที่จะเข้ามาตักตวงผลประโยชน์จากไทยนั่นเอง ดังนั้น นักเจรจาจึงพยายามปกป้องเอาไว้ให้ได้นานที่สุด เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยปรับตัวให้แข็งแกร่งขึ้น




  ฟันนี่เอส เข้าใจถึงเจตนาดีของรัฐบาล ที่จะทำให้บริษัทประกันลดเบี้ยประกันชีวิตลง เพื่อดึงดูดให้คนไทยทำประกันชีวิตไว้เป็นหลักประกันในอนาคตให้มากขึ้น เพราะทราบมาว่า เบี้ยประกันของไทยสูงมาก และในจำนวนนี้กว่า 50% เป็นค่าคอมมิชชันของตัวแทน นายหน้า

  แต่การเปิดเสรีไม่ใช่ทางออกที่ดีของปัญหานี้!!

  ในฐานะที่ ฟันนี่เอส เป็นผู้บริโภคคนหนึ่ง ย่อมเห็นด้วยกับรัฐบาลที่จะลดเบี้ยประกันชีวิตลง เพราะชอบของถูก

   แต่ถ้าบริษัทประกันยอมลดเบี้ยลงจริง ก็ต้องหาทางออกในการป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ด้วยการลดความคุ้มครอง ที่ให้กับผู้เอาประกันลงแน่นอน ถ้าเบี้ยยิ่งถูก ความคุ้มครองก็จะยิ่งลดลงมาก

  เพราะเบี้ยประกันในแต่ละผลิตภัณฑ์ บริษัทคิดแล้วคิดอีกว่าต้องคุ้มค่า ทั้งกับผู้เอาประกัน และตัวบริษัทเอง ขึ้นชื่อว่านักธุรกิจไม่ยอมขาดทุนแน่นอน แล้วอย่างนี้ประโยชน์จะเกิดขึ้นกับประชาชนจริงหรือ?

              จึงขอฝากให้ทั้ง 3 ฝ่าย คือ รัฐบาล คปภ. และบริษัท ช่วยกันคิดหาวิธีช่วยเหลือประชาชนอย่างประนีประนอม ไม่ใช่หักดิบ ที่รังแต่จะไม่เกิดประโยชน์กับใครแบบนี้เลย

              
                                             ฟันนี่เอส
                                                                 
                                                                             6 ต.ค. 54
                                                             

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น