นับตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้
ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก โดยตั้งราคารับจำนำสูงถึงตันละ 20,000
บาทสำหรับข้าวเปลือกหอมมะลิ และตันละ 15,000 บาทสำหรับข้าวเปลือกเจ้า ก่อให้เกิดผลดีและผลเสียมากมายหลายด้าน
โดยผลดีที่เห็นชัดเจนที่สุด ตามที่รัฐบาลกล่าวอ้างคือ
ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนาดีขึ้น สามารถปลดภาระหนี้สินได้บางส่วน
จากการขายข้าวได้ราคาสูงขึ้น
แต่ผลเสีย เช่น เกิดการทุจริต ทำให้รัฐบาลมีค่าใช้จ่ายมหาศาลในการเก็บรักษาข้าวในสต๊อก
แม้จะขายได้ตามราคาตลาด หรือใกล้เคียงกัน แต่ก็ยังต่ำกว่าราคารับจำนำ ทำให้ต้นทุนผู้ส่งออกสูงขึ้น
จนในบางตลาดไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่ง ทั้งเวียดนาม อินเดีย ปากีสถาน ได้ นำไปสู่การเสียส่วนแบ่งตลาดในตลาดสำคัญๆ
โดยเฉพาะฮ่องกง ที่แต่ละปีนำเข้าข้าวคุณภาพดี อย่างข้าวหอมมะลิไทยหลายแสนตัน
แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ การนำเข้าลดลงมาก!!
จากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
ณ ฮ่องกง ประเทศฮ่องกง พบว่า ในปี 50 สัดส่วนการนำเข้าข้าวไทยของฮ่องกงมากถึง 90% ของการนำเข้าจากทั่วโลก แต่ในปี 55 ลดลงเหลือ59.6% และเหลือ 56.4% ในปีถัดมา ขณะที่เวียดนาม ที่ในปี
50 มีสัดส่วนเพียง 0.4% แต่ในปี 55 เพิ่มขึ้นเป็น 25.8% และเพิ่มเป็น 28.7% ในปี 56 ส่วนกัมพูชา
สัดส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สาเหตุสำคัญมาจาก
ราคาข้าวหอมมะลิไทยสูงขึ้นมาก จากปี 51-56 ราคาส่งออกสูงขึ้นถึง 1692.8% และราคาขายปลีกในฮ่องกงสูงขึ้น 84.2%
ส่งผลให้ผู้นำเข้าข้าวระดับกลางถึงใหญ่ของฮ่องกง 41 ราย เหลือเพียง 12
รายที่ยังนำเข้าจากไทย แต่เวียดนามมีราคาถูกกว่าไทยเฉลี่ย 40%
และยังมีปัญหาการปลอมปน ที่ผู้นำเข้าบางรายนำข้าวราคาถูกมาผสมกับข้าวหอมมะลิไทย
เพื่อขายในราคาต่ำ ทำให้ภาพลักษณ์ข้าวหอมมะลิไทยเสียหาย ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่น
และกระทบต่อการนำเข้า
ส่งผลให้กรมการค้าต่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์ เร่งแก้ปัญหา และเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้นำเข้า รวมถึงผู้บริโภค
เพื่อดึงส่วนแบ่งตลาดข้าวไทยในฮ่องกงกลับมาให้ได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้
นายสุรศักดิ์ เรียงเครือ อธิบดี ได้นำคณะผู้ส่งออกข้าวไทย
ไปทวงตลาดข้าวไทยที่ฮ่องกง และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
โดยผู้นำเข้าข้าวไทยรายใหญ่ในฮ่องกง
ยืนยันว่า ส่วนแบ่งตลาดข้าวไทยจะกลับมาในเร็วๆ นี้ เพราะนอกจากจะเป็นผลจากการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้นำเข้าข้าวไทย
และผู้บริโภคมั่นใจว่าจะได้บริโภคข้าวหอมมะลิไทยแท้ โดยไม่มีการปลอมปนแล้ว
อีกสาเหตุคือ ขณะนี้ ราคาข้าวไทยลดลงมาอยู่ในระดับที่แข่งขันได้แล้ว
ทำให้ภัตตาคาร/ร้านอาหาร ที่เคยซื้อข้าวจากคู่แข่ง หันกลับมาใช้ข้าวไทยเช่นเดิม
เพราะคุณภาพเหนือกว่ามาก ส่วนผู้บริโภคครัวเรือนยังนิยมใช้ข้าวหอมมะลิไทยเช่นเดิม
ขณะเดียวกัน ปัญหาการปลอมปนเริ่มคลี่คลายลง
ส่วนตลาดอื่นๆ ที่ไทยเสียไปแล้วก็กำลังเดินหน้าทวงคืนเช่นกัน
อย่างฟิลิปปินส์ อิรัก หรือบางประเทศในแอฟริกา เป็นต้น
เมื่อได้ส่วนแบ่งตลาดกลับมาแล้ว ก็ต้องรักษาไว้ให้ได้ หวังว่า
ในอนาคตนโยบายข้าว จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกอีกแล้ว ไม่เช่นนั้น
คงต้องแก้ปัญหาเป็นลิงแก้แห ยิ่งแก้ยิ่งวุ่นอีก!!
ฟันนี่เอส
8 พ.ค.57
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น