ปีนี้
เครื่องยนต์ที่ใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ทั้งการลงทุนภาครัฐ-เอกชน
การบริโภคในประเทศ การส่งออก และการท่องเที่ยว
ไม่น่าจะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างโดดเด่นอีกแล้ว
เพราะความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ
ที่เริ่มต้นจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองล้วนๆ จากเหตุพรรคการเมืองใหญ่
มีความคิดเห็นแตกต่างกัน จนลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งของคนทั้งประเทศนั้น
ได้ก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจตามมา
เพราะไม่มีรัฐบาลใหม่ที่จะกำหนดนโยบายลงทุน เมื่อลงทุนภาครัฐไม่มี
การลงทุนภาคเอกชนที่จะได้รับอานิสงส์จากการลงทุนภาครัฐก็ไม่เกิด
ไม่สามารถกระจายรายได้ให้แรงงาน และกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายภาคประชาชนได้
แล้วยังถูกซ้ำเติมด้วยการท่องเที่ยว
ที่แม้นักท่องเที่ยวจะยังเดินทางมาเที่ยวไทย แต่จำนวนลดลง
เพราะยังไม่มั่นใจในความปลอดภัย ซึ่งทำให้รายได้จากการท่องเที่ยว
และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ลดลงตาม
น่าจะเหลือการส่งออก
ที่ยังเครื่องติด เพราะเศรษฐกิจโลก และประเทศคู่ค้า อย่างสหรัฐฯ สหภาพยุโรป
และญี่ปุ่น กำลังฟื้นตัว ประกอบกับ ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง
จึงน่าจะทำให้มูลค่าการส่งออกไทยปีนี้ ขยายตัวได้ตามเป้าหมาย 5% จากปีก่อน
ที่สำคัญจะเป็น “พระเอก” ขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้
แต่ในอัตราเท่าไร 4%, 3%,
2%, 1%
หรือติดลบ คงต้องลุ้นว่า ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ จะจบลงเมื่อไร
และจบอย่างไร
จากการได้พูดคุยกับ “นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค” อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์ ทราบว่า กรมฯทำงานอย่างหนักร่วมกับภาคเอกชน เพื่อส่งเสริม
และสนับสนุนผู้ส่งออก ให้เร่งส่งออกอย่างเต็มที่
ทำให้มูลค่าการส่งออกขยายตัวได้ตามเป้าหมาย
และเพื่อให้มูลค่าที่ได้จากการส่งออก
เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวให้ได้!! ดังนั้น
จึงต้องงัดสารพัดมาตรการช่วยกระตุ้น
โดยนอกจากจะโหมอัดกิจกรรมส่งออกอย่างต่อเนื่องแล้ว
ยังจะเน้นผลักดันการส่งออกสินค้าเจาะลูกค้าเป็นรายกลุ่ม
หรือสินค้าที่เป็นเทรนด์ใหม่ของโลก เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มฮิสแปนิก
(เชื้อสายสเปน) ในสหรัฐฯ กลุ่มลูกค้าสถาบัน เช่น โรงแรม เรือสำราญ
กลุ่มสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีโอกาสส่งออกสูง
รวมถึงจะส่งเสริมให้ผู้ผลิต/ผู้ส่งออกไทย ทำการค้าผ่านออนไลน์ โดยผ่านเว็บไซต์ thaitrade.com เพื่อเพิ่มช่องทางการค้าใหม่ๆ ที่เข้าถึงง่าย
และกว้างขวางขึ้น
ส่วนตลาดใหม่
อย่างอาเซียน จีน ตะวันออกกลาง ลาตินอเมริกา รัสเซียและซีไอเอส
(ประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของสหภาพโซเวียต) และแอฟริกา ได้ตั้งคณะทำงาน
โดยให้ทูตพาณิชย์ที่เคยทำงานในประเทศนั้นๆ และกลับมาทำงานที่กรมฯแล้ว
เป็นหัวหน้าคณะ มีภาคเอกชนเป็นคณะทำงานด้วย เพื่อวางแผนบุกเจาะเป็นรายประเทศ
จากเดิมที่มีแผนบุกเป็นรายภูมิภาค
นอกจากนี้
ยังมีแผนสร้างภาพลักษณ์สินค้าไทย ให้ตลาดใหม่รู้จักว่าไทยผลิตสินค้าใดได้บ้าง เช่น
ยานยนต์ผลิตได้ปีละ 2 ล้านคัน เป็นผู้ผลิตและส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าในระดับโลก
เป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของโลก ฯลฯ ซึ่งจะทำแผนประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ
ในต่างประเทศ เพื่อให้ส่งผลต่อการซื้อสินค้าไทยเพิ่มขึ้น
คงต้องเอาใจช่วยให้การส่งออกปีนี้ขยายตัวได้ตามเป้าหมาย
หรือมากกว่าเป้าหมาย ไม่เช่นนั้น เศรษฐกิจไทยคงลงเหวอีกครั้งเป็นแน่!!!
ฟันนี่เอส
10 เม.ย.57
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น