เมื่อไรก็ตามที่เศรษฐกิจประเทศใดเกิดวิกฤติ
เศรษฐกิจโลกจะติดเชื้องอมแงมจนล้มลุกคลุกคลานตาม
มีบทพิสูจน์ให้เห็นแล้วหลายครั้งหลายครา ทั้งจากวิกฤติต้มยำกุ้งในไทยเมื่อปี 2540
ตามด้วยวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในสหรัฐฯอีก 10
ปีให้หลัง และล่าสุดปี 2554 วิกฤติหนี้สาธารณะในสหภาพยุโรปทำให้โลกเริ่มเห็นว่า
แม้เศรษฐกิจทุนนิยมแบบเปิด จะมีผลดี ทำให้การค้า การลงทุนเป็นไปอย่างเสรี
แต่มีจุดอ่อนที่มือใครยาวสาวได้สาวเอา ประเทศเล็กๆ มักเสียเปรียบ
และเกิดความไม่สมดุลในการพัฒนา ทำให้การเติบโตไม่ยั่งยืน ที่สำคัญ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ณ ประเทศใด
ปัญหาจะลุกลามไปทั่วโลกอย่างง่ายดายเหมือนฟางที่ไหม้ไฟอย่างรวดเร็ว
ขณะนี้
โลกจึงกำลังมองหาโมเดลเศรษฐกิจแบบใหม่ ที่จะสร้างสมดุลให้กับเศรษฐกิจโลก
ทำให้การเติบโตเป็นไปอย่างมั่นคง และยั่งยืนมากขึ้น
หอการค้าไทย
องค์กรภาคเอกชนที่เข้มแข็งที่สุดอีกองค์กรหนึ่งของประเทศ
ได้ลุกขึ้นประกาศชัดเจนว่า “เศรษฐกิจแบบพอเพียง” ที่ “ในหลวง” พระราชทานให้แก่พสกนิกรเมื่อหลายสิบปีก่อน จะเป็นทางออก
ที่กูรูด้านเศรษฐกิจกำลังมองหากันอยู่
ในปีที่ผ่านมา หอการค้าไทย ได้นำเอาหลักปรัชญานี้ มาประยุกต์ใช้แล้วใน
5 แนวทาง ได้แก่ ลดความเหลื่อมล้ำ ชี้นำเศรษฐกิจ
ต่อต้านทุจริตคอรัปชั่น สร้างสรรค์สังคมไทย และก้าวไกลสู่สากล
โดยได้จัดทำกิจกรรมต่างๆ เช่น โครงการ 1 ไร่ 1 แสน ที่สนับสนุนให้เกษตรกรทำเกษตรแบบผสมผสานในนาข้าวพื้นที่
1 ไร่ ซึ่งจะมีรายได้กลับมา 1 แสนบาทหรือมากกว่า
แล้วขยายผลต่อไปยังโครงการ 1
บริษัท 1 ชุมชน
โดยเอาผลผลิตที่ได้จากโครงการแรก หรือจากชุมชนไปให้บริษัทใหญ่ๆ
ที่เป็นสมาชิกหอการค้าไทยจัดจำหน่ายทั้งในประเทศ และส่งออก
การจัดตั้งภาคีเครือข่ายต่อต้านการคอรัปชั่น
ที่มีองค์กรภาคเอกชนเข้าร่วมมากมาย
เพื่อขจัดการทุจริตคอรัปชั่นให้หมดไปจากสังคมไทย
หรือการกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศในแบบฉบับของหอการค้าไทย
เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจแต่ละสาขา แต่ละภูมิภาค ควบคู่ไปกับการดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เป็นต้น
ผลจากการดำเนินโครงการเหล่านี้
ก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจไทยจากจุดเล็กๆ ลดความเหลื่อมล้ำของสังคมไทย
โดยเฉพาะโครงการ 1 ไร่ 1 แสน หรือ 1 บริษัท 1 ชุมชน ที่เกษตรกรในโครงการสามารถปลดหนี้ และมีเงินเหลือไปลงทุนทำมาหากินได้ต่อไป
หอการค้าไทย
ตั้งใจจะนำเสนอความสำเร็จจากการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ
ที่จะเกิดขึ้นระหว่างงานฉลองครอบรอบ 80 ปีแห่งการก่อตั้งในเดือนพ.ย.นี้รวมถึงจะจัดสัมมนาทางวิชาการ (Symposium) เพื่อนำเสนอแนวคิดนี้ต่อสาธารณะ
และมั่นใจว่า จะได้รบการยอมรับอย่างกว้างขวาง ทั้งจากคนไทย และกูรูเศรษฐกิจโลก
ที่จะเชิญเข้าร่วมงานด้วย ทำให้
“ฟันนี่เอส” นึกถึงคำพูดของคุณวิชัย อัศรัสกร
กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทย ที่ว่า “ประเทศไทยเดินตามฝรั่งมามากแล้ว
ถึงเวลาที่เราต้องเอาของดีที่มีในบ้านเมือง โดยเฉพาะคำสอนของในหลวง
มาใช้ให้ฝรั่งเห็นและเดินตามเราบ้าง”
ฟันนี่เอส
15 มี.ค.55
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น