วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ซื้อด้วยความมั่นใจ Buy With Confidence

       BWC
[English below]
มวลมนุษยชาติรู้จักที่จะทำสิ่งสวยงามขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของตัวเองมาตั้งแต่ยุคบรรพกาลแล้ว เครื่องประดับก็เป็นหนึ่งสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมของมนุษย์ของเรามาตั้งแต่สมัยบรรพชน เฉกเช่นทุกวันนี้เครื่องประดับได้วิวัฒนาการมาพร้อมกับพวกเราให้มีความทันสมัยขึ้นมีเอกลักษณ์มากขึ้น และหลากหลายแบบได้นำเสนอออกมาได้ไม่ซ้ำตา ยิ่งเทคโนโลยีมีมากเท่าไร เครื่องประดับก็จะทวีความซับซ้อนมากขึ้น นั่นจึงทำให้เรายากที่จะจำแนกว่าเครื่องประดับชิ้นไหนเป็นของจริงและชิ้นไหนที่ทำขึ้นมาเพื่อที่จะเลียนแบบ ทางสถาบันอัญมณีและเครื่องประดับมีคำตอบ 
 เมื่อเร็วๆนี้ผมบังเอิญได้ยินข่าวจากทางวิทยุ เรื่องที่ชาวบ้านพบเจอแร่คล้ายทองคำบริเวณพื้นที่อำเภอหนองสูงจังหวัดมุกดาหารซึ่งมีการขุดเจาะและระเบิดหินภูเขาลึกประมาณ 27 เมตรต่อมามีนักวิชาการออกมาให้ข่าวทำนองว่าแร่ที่พบนั้นเป็นเพียงเพชรหน้าทั่งหรือ ไพไรต์ (Pyrite) หรือทองของคนโง่ (fool’s gold) ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกสีเหลืองและมีแสงระยิบระยับดูคล้ายกับทองคำ ถึงขนาดที่ว่ามีชาวบ้านบางกลุ่มนำทองนี้ไปให้ร้านทอง แต่ทว่าพอช่างทองได้พินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว พบว่าไม่ใช่ทองคำและเป็นแร่คล้ายทองที่ไม่ค่อยมีราคาจึงจะไม่ขอรับซื้อทำให้ผมนึกถึงโครงการหนึ่งของสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับหรือ GIT ว่าด้วยการซื้อด้วยความมั่นใจ’ หรือ Buy with confidence 
โครงการ BWC (Buy With Confidence) เป็นโครงการเกี่ยวกับการซื้ออัญมณีและเครื่องประดับคุณภาพมาตรฐานที่เราสามารถวางใจได้ว่าเป็นของจริงอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานพันธมิตร ร้านค้าอัญมณีและเครื่องประดับ และสถาบัน จุดประสงค์นั้นคือต้องการที่จะสร้างมาตรฐานและความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค และนักท่องเที่ยว และส่งเสริมภาพลักษณ์และชื่อเสียง ให้แก่ประเทศไทยเรื่องคุณภาพมาตรฐานสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ โดยที่ทางร้านค้าหรือบริษัทห้างร้านที่สนใจจะร่วมก็จะสามารถส่งตัวอย่างสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของตัวเองให้กับทางสถาบันซึ่งทางสถาบันจะมีห้องปฏิบัติการตรวจสอบอัญมณีและโลหะมีค่าต่างๆ ซึ่งสามารถตรวจลึกไปถึงระดับโครงสร้างโมเลกุลและคุณสมบัติพึงมีของอัญมณีนั้นๆ จากนั้นจึงจะออกใบรับรองว่าร้านค้าหรือห้างร้านนี้ผ่านการรับรองจากสถาบัน 
หากเราเป็นผู้บริโภคที่ต้องการที่จะซื้อเครื่องประดับอัญมณีคุณภาพมาตรฐานชิ้นใดชิ้นหนึ่งจะมีขั้นตอนในการเลือกซื้อซึ่งอิงตามโครงการ BWC ห้าขั้นตอนด้วยกัน อย่างแรกสุดเลยคือการมองหาตราสัญลักษณ์โครงการ Buy with Confidence หน้าร้านค้าทุกครั้ง ถัดมาจะเป็นขั้นตอนของการสแกน คิวอาร์โค้ดบนสติ๊กเกอร์ BWC หน้าร้าน เพื่อดูรายละเอียดเกี่ยวกับร้านค้าซึ่งผ่านเกณฑ์รับรองการ ซื้อด้วยความมั่นใจ’ ต่อมาเราสามารถเลือกซื้อสินค้าที่ชื่นชอบและสังเกตสินค้าที่มีตราสัญลักษณ์ BWC Tag เพื่อเพิ่มความมั่นใจ ขั้นตอนถัดมาจะเป็นการสแกนคิวอาร์โค้ดจาก BWC Tag ที่ติดสินค้า เพื่อดูรายละเอียดเกี่ยวกับอัญมณีและเครื่องประดับที่สนใจซื้อ และขอดูเอกสารรับรองที่ร้านค้าได้รับ จาก สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับ หรือ GIT Gem and Jewelry Certificate และอย่างสุดท้ายแต่สำคัญที่สุดก็คือการตัดสินใจซื้อสินค้าที่ชอบ และผ่านการรับรองและคุณภาพ จาก GIT ด้วยความมั่นใจ
ผมรู้สึกดีใจที่ยังมีองค์กร อย่างสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณี ที่ตระหนักถึงการคุ้มครองผู้บริโภคด้านคุณภาพ ของเครื่องประดับและอัญมณี เพราะถ้าหากเราได้ตัดสินใจซื้อเครื่องประดับชิ้นใดชิ้นหนึ่งแล้วเท่ากับว่าเราได้เลือกซื้อของที่มีคุณค่าทางด้านจิตใจและทุนทรัพย์ เมื่อจ่ายเงินไปแล้ว ก็ต้องได้ของดีมีคุณภาพ ไม่ย้อมแมว ไม่ใช่ถูกร้านค้าหลอกขาวของปลอม เพราะฉะนั้นการเลือกซื้อเครื่องประดับ สำหรับผมแล้วมันละเอียดอ่อนและสำคัญมากจริงๆ ถ้าหากใครต้องการซื้ออัญมณีและเครื่องประดับคุณภาพมาตรฐาน ต้องมองหาสัญลักษณ์ BWC (Buy with Confidence) ก่อนซื้อทุกครั้ง ซื้อด้วยความมั่นใจ เรียกดูใบรับรอง GIT”. 

       BWC
We cannot deny that mankind had created something beautiful and elegant to satisfy our satisfaction since the age of Lucy the Australopithecus. Jewelry and other accessories are one of those things we made to decorate our naked body. Nowadays it’s quite challenging to identify which is made to imitate or the lab-created. The more we develop our technology, the more complicity is the jewelry, but how to tell which store sells us a real one, and that the store is trustworthy? The Gem and Jewel Institute of Thailand has the answer.
                Recently, I coincidentally heard the news on the radio, about a group of villagers found gold-like minerals in Nong Sung District, Mukdahan Province, in which rocks were drilled and exploded into a deep rock valley approximately 27 meters deep. Later, scholars came to notify that the minerals were just typical Pyrite or fool's gold, which has a yellow appearance and shimmer similar to the real gold. Astoundingly, some villagers brought this gold to the gold shop, but once the goldsmith had considered it thoroughly, they then found that it is not gold and is just a gold-like mineral that is less expensive and they denied buying it. After I carefully listened to this news, later it reminds me of a project of the Gem and Jewelry Institute of Thailand or the GIT called 'Buy with confidence'
                The BWC project regarding buying standard quality gems and jewelry that we can trust. The entire project is a collaboration of GIT, the alliance group, and gem and jewelry stores. The aim is to create standards and confidence for consumers, tourists and to promote the image and reputation of Thailand regarding the standard quality of gems and jewelry products. Gem shops or companies that are interested in participating will be able to send samples of their own gems and jewelry to the institute, where the institute will examine the samples in its best laboratory in Thailand, which can examine the molecular structure and properties of the gemstones. Then the Institute will issue a certificate of ‘Buy With Confidence’ that the store has been certified by the Gem and Jewelry Institute of Thailand.
                If we are consumers who want to buy a fine and authentic piece of standard quality jewelry, there are five steps of the jewelry selection based on the BWC project. The first thing is to always look for the Buy with Confidence logo in front of the store. Next will be the process of scanning the QR code on the BWC sticker in front of the store to see details about the store that passed the certification criteria of Buy with confidence. Later, we can shop for favorite products and observe the products with the BWC Tag logo. The next step is to scan the QR code from the BWC Tag attached to the product to see details about the gem and jewelry that you are interested in buying. Also, you are able to request to see the certification that the store received from the Gem and Jewelry Institute or known as ‘GIT Gem and Jewelry Certificate’. And finally, the most important thing is that you can now make a decision to buy the products you like and have been certified the quality from GIT with confidence.
                I am really impressed that we still have an organization that concerns of consumer protection in case of buying jewelry and gemstone, because if we decided to buy a piece of jewelry, then we have chosen to buy things that have sentimental value and valuable. Once we paid for it, we must get the best quality products, not an imitation. Therefore, buying jewelry in my perspective is really delicate and important. So, if anyone wants to buy quality gems and jewelry, you must look for the BWC tag before buying. “Buy with confidence, Look for GIT Certificate ".

เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับ Visiting Gem&Jewelry Museum



[English below]
       หากกล่าวถึงคำว่า พิพิธภัณฑ์ สำหรับใครๆหลายคน ผมเชื่อว่าทันทีที่ผมเมื่อได้เอ่ยปากชักชวนให้ไปเดิน หรือว่าแค่ได้ยินก็เบือนหน้าหนีแล้ว ด้วยความที่ว่าพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่ในประเทศไทยไม่ค่อยมีความน่าสนใจเท่าที่ควร เลยทำให้คนไทยส่วนมากไม่นิยมและให้ความสำคัญในการเดินดูพิพิธภัณฑ์เฉกเช่นการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมแบบอื่นๆ โดยส่วนตัวของผมแล้ว พิพิธภัณฑ์ในดวงใจของผมในประเทศไทยมีอยู่ไม่กี่ที่ และพิพิธภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับ ก็ถือเป็นหนึ่งใน my hidden gems สำหรับผมเลยทีเดียว 
       ตั้งอยู่บนถนนสีลมภายในอาคารไอทีเอฟทาวเวอร์ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับอัญมณีและเครื่องประดับแบบครบวงจร โดยมีแนวคิดให้ผู้เยี่ยมชมได้เรียนรู้ตั้งแต่เรื่องการกำเนิดของอัญมณี ไปจนถึงการเจียระไน การขึ้นรูป ตลอดจนการให้ข้อมูลของโลหะมีค่าต่างๆ และจัดแสดงแร่อัญมณีชิ้นเป้งๆ! หลังจากที่ก้าวเข้ามาในอาคารพิพิธภัณฑ์ สิ่งแรกที่ผมประทับใจอย่างมากก็คือการให้ความสำคัญของผู้เยี่ยมชมทุกสถานะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับบุคคลทุพพลภาพ ทางพิพิธภัณฑ์ได้จัดเตรียมลิฟท์บันไดไว้ให้สำหรับคนที่ต้องใช้วีลแชร์ เพื่อให้สะดวกต่อการขึ้นบันไดเพื่อเข้าชมนิทรรศการ ภายในตัวพิพิธภัณฑ์ค่อนข้างโปร่ง เดินง่าย จัดเป็นโซนต่างๆชัดเจน ไม่งง และโดยรวมดูสะอาดตา ตัวอาคารเลือกที่จะตกแต่งให้มีช่องโค้งด้านบนเป็นจุดนำสายตา ซึ่งคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นการออกแบบทางเดินที่มีช่องโค้งยอดนิยมในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ตัวอย่างเช่นเบอร์ลิงตันอาร์เคดในลอนดอน การออกแบบให้ความรู้สึกหรูหรา เข้ากับการแสดงคริสตัลชวารอฟสกีที่เคยเป็นหนึ่งในคริสตัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้เป็นอย่างดี 
       พิพิธภัณฑ์แห่งนี้แบ่งออกเป็นโซนทั้งหมด 8 โซนด้วยกัน จัดแสดงตั้งแต่การกำเนิดของแร่อัญมณี หรือโลหะมีค่าต่างๆ ไปจนถึงการจัดแสดงเครื่องประดับตามสมัยนิยม ห้องแรกสุดจะเป็นการกำเนิด และเหมืองพลอยในประเทศไทย ในโซนนี้จะเล่าถึงจุดกำเนิด และการมีอยู่ของแร่อัญมณีในประเทศไทย ได้เรียนรู้ศัพท์เฉพาะที่ชาวบ้านใช้ในการเรียกขั้นตอนการขุดแร่ต่างๆ เช่นคำว่า แย็ก ฟังดูตลก แต่เป็นคำที่ชาวบ้านใช้เรียกเครื่องแยกพลอยชนิดหนึ่ง 
       ถัดมาจะเป็นโซนที่เล่าถึงประเภทของอัญมณีต่างๆทั่วไป และมีการจัดแสดงอัญมณีชิ้นนั้นๆภายในสภาพแสงไฟที่ต่างกัน เพื่อที่จะได้เห็นคุณสมบัติในการหักเหแสงหรือสะท้อนแสงต่างกันออกไป ซึ่งเราสามารถเป็นคนกำหนดการเปิดปิดไฟและสำรวจการสะท้อนแสงของอัญมณีได้ด้วยตัวเอง ต่อมาจะเป็นโซนของการจัดแสดงเพชร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโซนชูโรงของที่นี่เลยก็ว่าได้ เนื่องจากเพชรที่นำมาจัดแสดงนั้นมีหลายหลายแบบ หลายหลายขนาดมาก ส่วนใหญ่จะมาในรูปของเครื่องประดับซึ่งงดงามมาก ยิ่งผนวกไปกับการจัดแสงไฟที่ทางพิพิธภัณฑ์ในคำนวณการหักเหของแสงของเพชรแต่ละเม็ดแล้ว บอกได้คำเดียวเลยครับว่าสวยงามมากจริงๆ โซนนี้จะจัดแสดงติดกับโซนการเจียระไน และการทำเครื่องประดับ ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์ได้นำเครื่องเจียระไนเป็นๆมาให้เราได้ชม รวมถึงอุปกรณ์ในการขึ้นรูปพลอย และโลหะมีค่าต่างๆ ก่อนที่จะทำเป็นเครื่องประดับ ต่อมาจะเป็นโซนอัญมณีอินทรีย์ ซึ่งเล่าถึงอัญมณีที่ต้นดำเนิดมาจากสิ่งมีชีวิต ซึ่งผมก็เพิ่งที่จะทราบว่าปะการังก็จัดเป็นหนึ่งในอัญมณีมีค่าเช่นเดียวกับหอยมุก และงาช้าง 
        ติดๆกันจะเป็นโซนอัญมณีสังเคราะห์ นักวิทยาศาสตร์สามารถสังเคราะห์พลอยมีค่าบางชนิดได้ในห้องแล็บ เช่นแซปไฟร์ หรือเพชร สามารถทำโครงสร้างโมเลกุลให้เหมือนกับอัญมณีที่ขุดออกมาจากพื้นโลกแต่ราคาถูกกว่ากันหลายเท่า โซนนี้จึงเป็นอีกหนึ่งโซนที่น่าสนใจ สำหรับสองโซนสุดท้ายก็คือโซนเหมืองและโลหะมีค่า กับเครื่องประดับตามสมัยนิยม จะจัดแสดงเครื่องทองจาก บ้านช่างทองกรุ๊ป ซึ่งเครื่องประดับแต่ละชิ้น เราจะได้ยลความปราณีตของช่างทองไทยแต่ละท่านเป็นอย่างดี 
        ผมรู้สึกประทับใจกับการมีอยู่ของพิพิธภัณฑ์นี้เป็นอย่างมาก เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่เดินง่าย และใช้เวลาประมาณ40-50นาที เราก็สามารถทำความเข้าใจโซนต่างๆในพิพิธภัณฑ์ได้ครบ แถมภายในตัวอาคารยังมีการให้บริการห้องสมุด ซึ่งจะมีหนังสือหลากหลายแนวแตกต่างกันไป แต่ส่วนมากจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับหินสีมีค่าและอัญมณีต่างๆให้ได้ศึกษาหาความรู้กัน บรรยากาศภายในเอื้อต่อการอ่านหนังสือเป็นอย่างมาก ด้วยการจัดแสงไฟในโถงห้องสมุดออกสีส้มๆ ทำให้ถนอมสายตา อีกทั้งยังเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดี ผู้ที่สนใจเข้าใช้ห้องสมุด สามารถซื้อบัตรแบบ one day pass ได้ที่บรรณารักษ์ โดยที่บุคคลทั่วไป ราคาบัตรจะอยู่ที่ 20 บาท นักศึกษาและนักเรียนที่มีบัตรนักเรียนจะอยู่ที่ 10 บาท และสมาชิกของทางสถาบันจะสามารถใช้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นับว่าพิพิธภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นอีกหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยที่น่าสนใจไม่แพ้ไปกว่าที่อื่น


         What if I mention about those museums in Thailand or even invited others to some place of exhibition. In a sudden moment, you guys will absolutely deny my invitation only if I persuade them to the museum, but what’s wrong with the museum in Thailand. ‘Outdated and tedious’ will best describe this museum situation in our country, nobody wants to attend to the exhibition that much if the museum is still stinky and antique — I mean outdated antiquity, not the antique exhibition! So the people don’t care about the museum, nothing attractive unlike other cultural tourism that you literally can see the tangible places, but I guaranteed that you can’t apply this logic to this fabulous Gem and Jewelry Museum in Thailand, considered to be one of my ‘hidden gems’ waited for someone to discover it.
         Located within the ITF Tower on Silom street is the Gem and Jewelry Museum, this place exhibit the comprehensive collections and stories about gems and jewelry comes up with the idea for visitors to find out the origin of gemstones until the process of cutting, grinding, reforming, and providing information of various precious metals and even display many gigantic gemstones, minerals, and rocks. For the first time, I have stepped into this Museum; I have got attracted by the stairlifts, so the wheelchair users can use this equipment to help them reach the entrance easily, which I love that they really care about the audience. The interior seems so elegantly designed and also has designed a clean look yet luxurious. The building chose to have the long side arch which reminds me of an arching glass roof, a popular design for 19th-century arcades, such as the Burlington Arcade in London. This is quite a clever design to make an arching roof as an interesting remark in the building. The luxurious design has finally found its rightful place, right alongside, another equally fabulous thing in this town, Swarovski’s Big Chaton Crystal, which is the little brother of biggest jewelry stone in the world. I can value it as the Prima Donna of this museum.
         The museum is divided into eight zones, with exhibits ranging from the origin of gemstones and various precious metals till the zone of trendy jewelry accessories. The first room is about the origin and gemstone mines in Thailand, in this area. They clearly describe how the gemstones were appearing and the existence of gemstones in Thailand. I’ve learned the several terminologies that the villagers used to call the mining process, such as the word ‘Yaek’, it sounds funny, but it is the word that people literally used to call a gemstone separator.
Next one will be the zone that describes various types of jewels in general, they also display jewels and gemstones under different lighting, to see the properties of refracting or reflecting different light beam, which we can manually set the light on and off and explore the reflection of the gems by ourselves. Next one is the zone presenting about diamond exhibition, which is considered as one of the remarkable zones in here. 
          There are many different types of diamonds on display also in various sizes. Most come in the form of jewelry which is theoretically stunning, especially combined with the lighting provided by the museum that they really are working on calculating the refraction of each diamond.
Then the next one exhibiting the process of cutting and refining jewels into a piece of jewelry, in which the museum has brought us a gemstone grinding machine that has been used by the lapidary and including the gemstone forming tools. Next one display the Organic Gemstone, they describe the jewels that originated from living things and the funny thing is that I was just aware that corals are considered as one of the precious gemstones, just like mother-of-pearl and ivory.
Then here’s the Lab-made jewelry zone. Scientists are able to synthesize some precious gemstones in a lab, such as sapphires or diamonds, and they’re able to create molecular structures similar to gems that are dug from the earth but totally cheaper. This zone is another interesting zone. The last two zones are mine and precious metals. They also come with trendy jewelry and gold ornaments from Baan Chang Thong Group (Thai Goldsmiths). In which each piece of jewelry we can appreciate the meticulousness of each Thai goldsmith pretty well.
          I am really impressed with the existence of this museum. It is one of the museums that are easy to visit, and it took about 40-50 minutes to be able to fully understand the various zones in the museum. Besides, the building also provides library services. Most of which are books about precious stones and gemstones to study and to write some academic works about it. Also I love about their facilities, computers, free internet and the service fees will blow your mind! 20 Baht for a general public, 10 Baht for the college student and free admission for a GIT member. I must consider that the Gem and Jewelry Museum is one of the museums in Thailand that is not less interesting than anywhere else, perhaps very fascinating to spend a day.

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหาปรมินทรา ภูมิพลอดุลยเดช... พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย


                                                                                                           


                                                                                 





             ธ สถิตในดวงใจนิรันดร์       
  ร่วมถวายความอาลัยต่อการเสด็จสวรรคต
    ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช





ข้าพระพุทธเจ้า
น.ส.สิริวรรณ พงษ์ไพโรจน์






                                                        







                                                     




                                                                           


                                                                                 





ครั้งหนึ่งในชีวิต






 



        ภาพคุ้นตาคนไทย ที่จำได้ไม่เคยลืม และจะไม่มีวันลืมตลอดชีวิตนี้ ...
        ภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เสด็จพระราชดำเนินไปทุกหนทุกแห่งในแผ่นดินนี้  โดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดาร เพื่อดูแลทุกข์สุขของไพร่ฟ้าประชาชน 
        ไม่ว่าจะทรงเหน็ดเหนื่อยสักเพียงไร ก็ไม่เคยหยุด เพียงเพราะต้องการทำให้พสกนิกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และประเทศไทยเจริญทัดเทียมนานาประเทศ
        คิดเสมอว่า คนไทยโชคดีมาก ที่มีพระมหากษัตริย์ ที่ทรงรัก และห่วงใยพสกนิกรมากถึงเพียงนี้
        เคยแอบอิจฉาคนต่างจังหวัด ที่ได้เฝ้ารอรับเสด็จฯบ่อยๆ แต่คนในเมือง นานๆ จะมีสักครั้ง
       เฝ้าคิดเหมือนที่คนไทยทั้งประเทศคิดตลอดว่า ในชีวิตนี้ อยากเฝ้ารับเสด็จฯ และเห็นพระองค์อย่างใกล้ชิดสักครั้ง...
       แล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่เป็นมงคลอย่างที่สุดในชีวิต ...เมื่อ 2-3 ปีก่อน มีโอกาสไปเที่ยวงานเฟสติวัล ที่โรงพยาบาลศิริราช แต่ไปถึงก่อนเวลา คิดว่า ไปเดินเล่นที่วังหลังน่าจะดี
      ขณะกำลังเดินจะถึงอาคารเฉลิมพระเกียรติ เห็นทหาร และตำรวจ กำลังเคลียร์พื้นที่โดยรอบ ในใจสงสัยว่าจะมีอะไร แต่เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นว่า ในหลวงจะเสด็จฯ
       เท่านั้นเอง ไม่ไปไหนแล้ว หาที่นั่งรอรับเสด็จฯอยู่หน้าตึก ประชาชนทยอยจับจองพื้นที่ ชั่วพริบตา บริเวณนั้น เนืองแน่นไปด้วยคนไทยที่มีหัวใจเดียวกัน หัวใจที่ “รักพ่อของแผ่นดิน”
        ไม่ถึงชั่วโมง นายแพทย์ประจำพระองค์ เข็นรถเข็น ที่พระองค์ประทับออกมาจากลิฟท์ และลงมาจากอาคารอย่างช้าๆ เพื่อให้พสกนิกรได้ชื่นชมพระบารมี โดยมีสมเด็จพระเทพฯ โดยเสด็จฯด้วย
        เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ได้เห็นพระพักตร์อย่างใกล้ชิด ความรู้สึกตอนนั้น เหมือนเนื้อเพลง ในหลวงของแผ่นดินคำร้องโดย วิเชียร ตันติพิมลพันธ์ และทำนอง/เรียบเรียงโดย สราวุธ เลิศปัญญานุช ที่ว่า
        มอง เห็นพระเจ้าอยู่หัว ท่ามกลางคนมืดมัว เหมือนเห็นแสงทองส่อง 
       ใจ ตื้นตันเพียงได้มอง พนมมือทั้งสอง ก้มลงกราบด้วยหัวใจ
       มอง พระผู้ทรงเมตตา เฝ้าดูแลประชา ทั่วอาณาใกล้ไกล
       เมื่อยามอ่อนล้า หมดหวังพระองค์อยู่เป็นหลักนำหัวใจ
       ยึดเหนี่ยวอยู่ภายในว่าวันพรุ่งนี้ยังมีหวัง...
        น้ำตาแห่งความปลื้มปิติ ค่อยๆ เอ่อล้น และไหลอาบสองแก้มอย่างไม่อายใคร ประชาชนบริเวณนั้นก็ไม่ต่างกัน ทุกคนพร้อมใจกันเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ไม่ได้ขาด
         แม้วันนี้ “น้ำตาแห่งความปลื้มปิติ” ได้แปรเปลี่ยนเป็น “น้ำตาแห่งความโศกเศร้า” แต่ในหัวใจทุกดวงของคนไทย ยังคงมีพระองค์สถิตอยู่เช่นนี้ตลอดไป
          นับจากนี้ เชื่อเหลือเกินว่า ลูกทุกคน จะรัก และสามัคคีกัน จะร่วมกันทำความดี และสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แผ่นดินไทย แผ่นดินที่ “พ่อ” สร้างขึ้นด้วยความรัก เมตตา ความห่วงใย และหลอมรวมดวงใจทุกดวงให้เป็น “ดวงเดียวกัน”



           ฟันนี่เอส


ภาพวาดประกอบ : ด.ช.พงษ์ไพโรจน์ เลิศสุดวิชัย

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

หยุดต่างชาติยึดท่องเที่ยวไทย!!










            วันก่อน มีโอกาสไปเที่ยวจ.ชลบุรีอย่างละเอียด ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งที่ดี และไม่ดี
โดยเฉพาะมีสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ เกิดขึ้นรองรับนักเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติ ซึ่งมาเยือนที่นี่ปีละจำนวนมาก ทำให้นักท่องเที่ยวไม่เบื่อ และเกิดความตื่นเต้นที่จะมาเที่ยวชมอยู่เสมอ นอกเหนือจากแหล่งท่องเที่ยวที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ไว้ อย่างทะเล และหาดทรายสวยงาม
แต่สิ่งที่ผู้คนในวงการท่องเที่ยวไทยที่นี่ บ่นมากคือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในชลบุรี โดยเฉพาะพัทยา อยู่ในมือคนต่างชาติไปแล้ว หลักๆ คือ รัสเซีย และจีน มีเยอรมันสอดแทรกบ้าง


 






ทำให้เงินที่นักท่องเที่ยว 2 ชาติใช้จ่ายในจ.ชลบุรี ตกอยู่ในแผ่นดินไทยน้อยมาก เจ้าพ่อเจ้าแม่ มาเฟียทั้ง 2 ชาติเอาไปกินหมด!! คนต่างชาติเหล่านี้ ทำธุรกิจต้องห้ามตามพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวพ.ศ.2542 ในไทยได้อย่างไร? ทั้งการซื้อขายที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ฯลฯ
คำตอบง่ายนิดเดียว คนต่างชาติเหล่านี้มักมีนอมินี หรือผู้สมรู้ร่วมคิดเป็นคนไทย ที่คอยให้การช่วยเหลือ และสนับสนุน บางคนก็เข้ามาแต่งงานกับคนไทย แล้วให้สามี หรือภรรยาคนไทยซื้อขายที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ ตั้งบริษัททำธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
ถ้าเดินตามกรุ๊ปทัวร์ของทั้ง 2 ชาติจะรู้ว่า ไม่ได้มากับบริษัททัวร์ของคนไทย แต่เป็นบริษัทของชาติเค้าเอง ไม่มีไกด์คนไทย ไม่ได้พักโรงแรมของไทย แต่เป็นอพาร์ทเมนต์ของเค้าเองอีก รถบัส รถตู้ที่ใช้รับนักท่องเที่ยวก็เป็นของเค้าอีกเช่นกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก











ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวใด ที่ไม่มีผลประโยชน์ให้บริษัททัวร์ ก็จะไม่เอากรุ๊ปทัวร์มาลง ทำให้สถานที่แห่งนั้นแทบจะหายไปจากแผนที่ท่องเที่ยวของจังหวัด อย่าง “วิหารเซียน” หรือ “อเนกกุศลศาลา”
สาเหตุที่ทัวร์จีนไม่เข้าชม เพราะที่นี่เขียนป้ายบอกค่าเข้าชมชัดเจน คนละ 50 บาททั้งไทย และต่างชาติ บริษัททัวร์โขกค่าเข้าชมจากลูกทัวร์ไม่ได้ จึงไม่พาเข้าชม ทั้งๆ ที่ มีศิลปวัตถุโบราณที่พบในสุสาน “จิ๋นซีฮ่องเต้” รวมถึงศิลปวัตถุโบราณ และภาพเขียนโบราณล้ำค่า ที่รัฐบาลจีน และไต้หวันมอบให้จำนวนมาก









การทำธุรกิจท่องเที่ยวของคนต่างชาติในไทย ที่ทำแบบครบวงจร โดยใช้ทรัพยากรของไทยเช่นนี้ ถือเป็นการเอาเปรียบคนไทย เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย น่าเกลียด และไร้ยางอายที่สุด!!
ที่สำคัญ ทำให้ธุรกิจของคนไทยในจังหวัดได้รับผลกระทบด้วย สถานการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นแล้วในแทบจะทุกจังหวัดแหล่งท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต กระบี่ เชียงใหม่ ฯลฯ ภาครัฐมัวแต่ดีใจกับตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยไม่บอกความจริงให้สาธารณชนรู้ว่า เงินทุกบากทุกสตางค์ที่นักท่องเที่ยวใช้จ่าย ตกอยู่ในแผ่นดินไทยจริงหรือไม่ แล้วจะปล่อยให้สถานการณ์เลวร้ายลงกว่านี้หรือ จะมีใครแก้ปัญหาหรือไม่




                                    
ตอนนี้เห็นเพียงการสุ่มตรวจสอบนอมินีในจังหวัดท่องเที่ยว ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ซึ่งล่าช้ามาก เพราะคนทำกลัวกว่า ถ้าทำอะไรดุเด็ดเผ็ดมัน จะกระทบการท่องเที่ยวไทยได้ แต่กลับกัน ถ้าปล่อยให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย จะไม่กระทบต่อการท่องเที่ยวไทยมากไปกว่านี้หรือ



ถึงเวลาที่ต้องช่วยกันกวาดล้างพฤติกรรมเช่นนี้ให้หมดไป ก่อนที่ประเทศไทยจะสูญเสียเอกราชในธุรกิจท่องเที่ยวให้ “ขบวนการใต้ดิน” เหล่านี้!!


14 ม.ค.59

         ฟันนี่เอส



วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

คุมเข้มธุรกิจทุนสูงผิดปกติ





           ตอนนี้ ธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลด้วยทุนจดทะเบียนสูงมากๆ คงจะร้อนๆ หนาวๆ ไปตามๆ กัน เพราะขณะนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ อยู่ระหว่างการตรวจสอบทางบัญชีของนิติบุคคลเหล่านั้นอยู่
         โดยจะดูว่า จดทะเบียนด้วยทุนสูงมากผิดปกตินั้น มีเงินทุนเข้ามาในกิจการจริงหรือไม่ มีความตั้งใจทำธุรกิจจริงหรือไม่ หรือตั้งใจตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อหลอกลวงประชาชน


           ล่าสุด ได้ตรวจสอบทางบัญชีของนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียน 10,000 ล้านบาทขึ้นไปแล้ว ประมาณ 80 ราย และพบความผิดปกติใน 30 ราย เพราะภายหลังการจดทะเบียนนิติบุคคลมานานแล้ว แต่ไม่มีการชำระทุนจดทะเบียน ไม่แสดงบัญชีต่อกรมฯ เมื่อติดต่อสอบถามไปก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับ
            นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนตั้งแต่ 5,000-9,999 ล้านบาท ประมาณ 120 รายด้วย ซึ่งหากพบความผิดปกติ กรมฯจะขึ้นข้อความเตือนในหนังสือรับรองของบริษัทเหล่านั้นว่า นิติบุคคลนี้ไม่ได้จัดส่งเอกสารหลักฐานที่น่าเชื่อถือ และสามารถยืนยันได้ว่ามีการชำระค่าลงทุนตามที่ขอจดทะเบียนจริง


เพื่อให้ประชาชน หรือนักธุรกิจ ที่ต้องการทำธุรกรรมด้วย ได้รับทราบ และเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่เช่นนั้น อาจถูกหลอกลวง และได้รับความเสียหายได้
ที่สำคัญ กรมฯจะติดตามข้อมูลทางบัญชีของบริษัทเหล่านี้อย่างใกล้ชิดในปีต่อๆ ไป หากพบข้อมูลทางบัญชีบกพร่อง หรือมีการกระทำผิดกฎหมาย  จะมีโทษทั้งจำคุก และปรับ 
 อีกทั้งยังจะจัดส่งรายชื่อธุรกิจที่กระทำผิดกฎหมายไปยังกรมสรรพากร สภาวิชาชีพ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.)  เพื่อให้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป



สาเหตุที่กรมฯต้องดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มงวด เป็นเพราะปัจจุบัน มีข่าวไม่ดีกับการดำเนินธุรกิจของนิติบุคคล      ที่อาจส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจ หรือสร้างความเคลือบแคลงสงสัยในสังคม เช่น แชร์ลูกโซ่
 จึงถือเป็นภารกิจสำคัญที่จะต้องตรวจสอบ โดยใช้อำนาจตามกฎหมาย เพื่อสร้างความโปร่งใสในการทำธุรกิจ และกำกับธรรมาภิบาลของภาคธุรกิจ ให้เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยเฉพาะในสายตาของนักลงทุนต่างประเทศ
ในปีนี้ กำหนดเป้าหมายการตรวจสอบทางบัญชีของภาคธุรกิจกว่า 300,000 ราย ทั่วประเทศ เพื่อให้มีการจัดทำบัญชี และงบการเงินตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน และตามความเป็นจริง
           อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.58 เป็นต้นมา กรมฯได้เพิ่มความเข้มงวดรับจดทะเบียนจัดตั้ง และเพิ่มทุนของห้างหุ้นส่วน และบริษัทให้มากขึ้น โดยให้มีการส่งเอกสารประกอบการจดทะเบียนที่น่าเชื่อถือ และสามารถยืนยันได้ว่ามีการชำระเงินลงทุนตามที่ขอจดทะเบียนจัดตั้ง หรือจดทะเบียนเพิ่มทุน
โดยให้เริ่มบังคับใช้กับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีทุนจดทะเบียนเกินกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไปก่อน ซึ่งจะมีผลต่อผู้ยื่นจดทะเบียนตั้งใหม่ประมาณ 2,500 รายต่อปี จากยอดจดทะเบียนตั้งใหม่ 60,000  65,000 รายต่อปี
การคุมเข้มแบบนี้ แก๊งค์ต้มตุ๋น ที่ต้องการตั้งบริษัทเพื่อหลอกลวงประชาชน คงจะทำยากขึ้น และน่าจะสร้างธรรมาภิบาล ความโปร่งใสในภาคธุรกิจของไทยได้มากขึ้นด้วย!

                                                                      ฟันนี่เอส

                                                                                      5 มี.ค.58

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เรื่องฉาวของกระทรวงพาณิชย์









           ช่วงนี้ กระทรวงพาณิชย์ดูเหมือนจะมีแต่ข่าวร้ายไม่เว้นแต่ละวัน!

           เริ่มตั้งแต่ข่าวจะให้ออก 2 ข้าราชการภายหลังถูกสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง กรณีขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)

แม้พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ และประธานคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) กระทรวงพาณิชย์ ย้ำว่า ยังไม่ได้ประชุมอ.ก.พ.กระทรวง จึงยังไม่ได้ให้ออก แต่ดูท่าแล้ว ความผิดคงเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากปลดออก หรือไล่ออก เพราะป.ป.ช.ชี้มูลว่าผิดวินัยร้ายแรง





นอกจากนี้ องค์การคลังสินค้า (อคส.) รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้ออกรองผู้อำนวยการ เพราะทุจริตจัดทำข้าวสารบรรจุถุงช่วยเหลือประชาชน สมัยรัฐบาลก่อน ล่าสุดอยู่ระหว่างตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินความเสียหาย เพื่อฟ้องร้องทางแพ่ง

มิหนำซ้ำยังสั่งย้ายพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งพล.อ.ฉัตรชัย ระบุว่า ไม่ได้ย้ายด่วน แต่ให้มาช่วยราชการในส่วนกลาง โดยจะให้รับหน้าที่ผลักดันการค้าชายแดน เพราะพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่เก่งด้านนี้ แต่ขณะนี้ส่วนกลางยังไม่มีตำแหน่งว่าง ต้องนั่งพาณิชย์เชียงใหม่ไปก่อน






            วงในว่ากันว่า สาเหตุย้ายด่วนน่าจะมาจากแก้ปัญหาราคาหอมใหญ่ตกต่ำไม่ได้ และยังปล่อยให้ม็อบเกษตรกรหอมใหญ่ บังอาจยื่นหนังสือร้องเรียนต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งเดินทางไปเชียงใหม่สัปดาห์ที่ผ่านมา

ใครๆ ก็รู้หอมใหญ่ราคาตก เพราะลักลอบนำเข้าจากจีนปีละหลายหมื่นตัน พาณิชย์จังหวัดคนเดียว แก้ไขไม่ได้อยู่แล้ว หากจะถือเป็นความผิด ทุกหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องทั้งจังหวัด ต้องผิดกันหมด กระทั่งตำรวจ และทหาร ที่ปล่อยให้ลักลอบนำเข้ามาตีตลาดในประเทศ

ก่อนหน้าการสั่งย้ายด่วนราว 2 สัปดาห์ เคยเห็นข่าวจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ว่า ได้วางแผนแก้ปัญหาแล้ว ทั้งป้องกันลักลอบนำเข้า ผลักดันส่งออก ขอความร่วมมือเกษตรกรอย่าเก็บเกี่ยวก่อนกำหนด ขอความร่วมมือผู้ประกอบการรับซื้อไม่ต่ำกว่ากก.ละ 8 บาท แต่ยังแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะนำเข้ามากเกินไป!!

ข่าวร้ายของกระทรวงฯยิ่งร้ายหนักขึ้น เมื่อศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้สำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์องค์กรชั้นนำ 28 แห่ง จำนวน 66 คน เรื่องการประเมินผลงานด้านเศรษฐกิจรัฐบาลชุดนี้ครบ 6 เดือน





พบว่า รัฐมนตรีเศรษฐกิจที่ได้คะแนนต่ำสุดคือ พล.อ.ฉัตรชัย รมว.พาณิชย์ 5.20 คะแนน นอกจากนี้ พล.อ.ฉัตรชัย และนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมช.พาณิชย์ ยังติดโผรัฐมนตรีที่ประชาชนอยากให้ปรับออกจากคณะรัฐมนตรี จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ 1,250 ตัวอย่าง โดยสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

แต่พล.อ.ฉัตรชัย ให้สัมภาษณ์ว่า ตั้งใจทำงานเต็มที่ ใครไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ไม่ท้อ ไม่ผิดหวังกับผลโพล เพราะเป็นทหาร ทำงานปิดทองหลังพระมาตลอด และจะยังคงเดินหน้าทำงานต่อไป เพื่อประเทศชาติและประชาชน

มาถึงตรงนี้ บอกได้คำเดียวว่า เห็นใจกระทรวงพาณิชย์อย่างสุดซึ้ง ที่มีแต่เรื่องร้อน ทั้งที่แก้ปัญหาปากท้อง กู้วิกฤติส่งออก ยังทำได้ไม่ถึงไหน คงไม่มีใครช่วยได้ นอกจากต้องช่วยตัวเอง เดินหน้าทำงานเต็มที่ สักวันคงสำเร็จตามตั้งใจ


                                                                         26 ก.พ.58


ฟันนี่เอส