ตอนนี้หลายฝ่ายกลัวเหลือเกินว่า เศรษฐกิจไทยจะหดตัวลงอย่างแรง เพราะมีปัจจัยเสี่ยงสารพัดรุมเร้าอย่างหนัก ทั้งจากปัจจัยภายใน ที่รัฐบาลใหม่ยังไม่ได้เริ่มต้นทำงานอย่างจริงจังเสียที
แล้วยังจะมีปัญหาการเมือง ที่ทั้งพี่ชายนายกรัฐมนตรี และคนเสื้อสารพัดสีพร้อมใจกันออกมาขย่มซ้ำเสถียรภาพของรัฐบาลอีก ไหนยังจะมีปัญหาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากวิกฤตหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นมาก และยังไม่สามารถแก้ไขได้ของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (อียู) รวมถึงราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ล่าสุดเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ไม่สามารถทัดทานปัจจัยเสี่ยงเหล่านั้นได้ ขยายตัวได้เพียง 2.6% ลดลงมากจากไตรมาสแรก ร้อนถึงสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ต้องรีบปรับลดประมาณการณ์ขยายตัวเศรษฐกิจปีนี้ลงเหลือ 3.5-4.0% จากเดิมที่คาดโต 3.5-4.5%
ขณะเดียวกัน หลายหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของไทย ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สศช กระทรวงการคลัง ฯลฯ ต่างจับตามองปัจจัยเสี่ยงต่างๆ รวมถึงสถานการณ์ของ 2 ยักษ์ใหญ่โลกอย่างใกล้ชิดแบบไม่กระพริบตา เพื่อจะได้วางแผนรับมือได้อย่างทันท่วงที หากเกิดความรุนแรงมากขึ้นไปอีก!!
แต่ท่ามกลางข่าวร้ายย่อมมีข่าวดี กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่า ปัญหาของสหรัฐฯ และอียู ไม่น่าจะกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยไปตลาด 2 แห่งนี้มากนัก
โดยสหรัฐฯ แม้กำลังซื้อลดลง แต่รัฐบาลน่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 3 (คิวอี 3) ในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้การส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ไม่ได้รับผลกระทบ
แต่หากจะมีส่วนถูกกระทบบ้าง ก็ไม่น่าจะมากนัก เพราะไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปตลาดนี้เพียง 9.5% ของการส่งออกรวม สินค้าที่อาจได้รับผลกระทบจากการนำเข้าที่ลดลง เพราะคนอเมริกันต้องรัดเข็มขัด ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น
ส่วนวิกฤตเศรษฐกิจในอียู ล่าสุดธนาคารกลางได้ตกลงพยุงเศรษฐกิจ ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรของสมาชิกที่มีปัญหา เพื่อปกป้องชาติที่ใช้เงินสกุลยูโรร่วมกัน (ยูโรโซน) เช่น อิตาลี ทำให้ระยะสั้นปัญหาหนี้สาธารณะยุโรปจะไม่ลุกลามออกไปอย่างที่หลายฝ่ายกังวล
พร้อมกันนั้น กรมส่งเสริมการส่งออกจะผลักดันการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ เป็นการทดแทนมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ และอียูที่ลดลง โดยจะเน้นไปที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดี ทั้งอาเซียน จีน อินเดีย ละตินอเมริกา รัสเซียและซีไอเอส แอฟริกา เป็นต้น
ประกอบกับ สินค้าไทยยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เพราะมีคุณภาพดี มี รวมทั้งยังมีโอกาสส่งออกไปยังประเทศที่ไทยได้ทำข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ)
มั่นใจว่า ปีนี้มูลค่าการส่งออกจะขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 15% มูลค่า 224,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเกือบ 7 ล้านล้านบาท และยังมีโอกาสไปได้ถึง 20% ด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อการส่งออกยังเติบโตได้ดีอยู่ เศรษฐกิจไทยก็น่าจะทรุดลงมากนัก
เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อแถลงนโยบายแล้ว ขอให้รัฐบาลเร่งทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับขึ้นมาคึกคักอีกครั้ง แต่กลัวเหลือเกินว่า รัฐบาลจะแพ้ภัยตัวเอง และคนรอบข้างก่อนจริงๆ
ฟันนี่เอส
25 ส.ค.54